ฝ้า กระ จุดด่างดํา ปัญหาของผิวพรรณที่สร้างความรำคาญใจให้กับสาว ๆ หนุ่ม ๆ หลายคน ฝ้ากระที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหน้าหรือตามร่างกายเกิดจากหลายสาเหตุและการรักษาให้หายขาดนั้น การทาครีมบำรุงจึงเป็นเรื่องยากและยาวนานกว่าจะเห็นผลในการรักษาฝ้ากระ แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีและแนวทางการรักษาฝ้ากระให้หายเป็นไปได้ง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เข้าใจฝ้า กระ จุดด่างดำมากขึ้น สามารถศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ได้ตามหัวข้อต่อไปนี้
สาเหตุของการเกิดฝ้า และวิธีป้องกันการเกิดฝ้าแต่ละชนิด
ฝ้าเลือด หรือในทางการแพทย์เรียกว่า Vascular melisma หรือ Telangiectetic melisma ฝ้าเลือดเกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดฝอยบนผิวหน้า ผลมาจากการใช้เครื่องสำอาง หรือยา ที่มีส่วนผสมของเสตียรอยด์ ทำให้เส้นเลือดฝอยแตกและมีเลือดกระจุกบริเวณพังผืดใต้ผิวหนังชั้นลึก โดยฝ้าจะมีสีน้ำตาลแดง จัดเป็นฝ้าที่รักษายาก ฝ้าเลือดพบในเพศหญิงได้มากกว่าเพศชายถึง 80%
ฝ้าจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ฝ้าฮอร์โมนพบบนใบหน้าเพศหญิงมากกว่าเพศชายนั้น เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน เช่น
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนระหว่างตั้งครรภ์ ที่เรียกว่า “Mark of pregnancy”
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างวัยหมดประจำเดือน หรือ กลุ่มที่มีประจำเดือนไม่ปกติ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
- ฝ้าที่เกิดจากการทานยาที่มีผลต่อฮอร์โมนคุมกำเนิด เช่น ยากลุ่มฟีไนโทอีน และยากลุ่มไฮโดรควิโนน เป็นต้น
การป้องกันหรือรักษาฝ้าที่เกิดจากการทานยานั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อแจ้งให้ทราบถึงผลข้างเคียงที่ได้รับโดยแพทย์อาจทำการหยุดยา หรือเปลี่ยนยาตัวอื่นที่ไม่มีผลข้างเคียงแทน ทั้งนี้ในส่วนของฝ้าที่เกิดจากเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนขณะตั้งครรภ์จะหาย หรือจางลงไปเองหลังการคลอดบุตร
ฝ้าแดด ฝ้าที่เกิดจากแสงแดด การโดนแสงแดดโดยตรงและโดนแสงแดดเป็นเวลานาน ทำให้เกิดฝ้าแดดได้ง่าย ซึ่งแสงแดดเป็นอันตรายต่อผิว เพราะแสงแดดมีรังสี UVA และ UVB ที่ส่งตรงมายังผิวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รังสี UVA ที่มีความยาวคลื่นมากกว่าจึงส่งผลไปถึงชั้นผิวที่ลึกกว่า ทำให้เกิดทั้ง “ฝ้าแดด และกระ” ได้ในเวลาเดียวกัน
การเกิดฝ้าแดดจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการรับปริมาณแสงแดด และการผลิตเม็ดสีผิว (Melamine pigment) จากเซลล์เม็ดสีผิวใต้ผิวหนัง (Melanocytes) ของแต่ละคน เนื่องจากเม็ดสีผิวของเรามีหน้าที่กรองรังสีจากแสงแดด เมื่อได้รับแสงแดดมากเม็ดสีจะถูกผลิตมากขึ้น ทำให้เกิดฝ้า และทำให้สีของฝ้าเข้มขึ้น
ประเภทของฝ้าและฝ้ามีกี่ชนิดไปเช็คกันว่าเราเป็นฝ้าชนิดไหน
“ฝ้า (Melasma หรือ Cholasma)” ฝ้ามีลักษณะ เป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อน หรือน้ำตาลเข้ม บางครั้งมีสีออกดำอมฟ้า หรือสีแดง พบการขยายวงกว้างบริเวณโหนกแก้มได้มากกว่าที่อื่นบนใบหน้า ในบางครั้งเราอาจพบกระ ซึ่งเป็นจุดเล็กๆสีน้ำตาลกระจายอยู่ร่วมกับฝ้าอีกด้วยค่ะ ซึ่งฝ้าจะมีทั้งหมด 3 ชนิดหลักๆดังนี้
- ฝ้าลึก (Dermal type) – เกิดขึ้นบริเวณชั้นหนังแท้ใต้หนังกำพร้า มีสีน้ำตาลอ่อน สีเทา สีเทาอมฟ้า มีขอบเขตของฝ้าไม่ชัดเจน สังเกตได้ว่าฝ้าชนิดนี้จะกลืนไปกับผิวหน้าเป็นบริเวณกว้าง
- ฝ้าตื้น (Epidermal type) – เกิดขึ้นบริเวณชั้นหนังกำพร้า มีสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงสีเทาดำ ฝ้ายนิดนี้จะเห็นขอบเขตของการเกิดฝ้าได้ชัดเจน
- ฝ้าผสม (Mix type) – ฝ้าที่มีการผสมกันระหว่างฝ้าลึก และฝ้าตื้นบนใบหน้า
วิธีป้องกันฝ้าแดด
หลีกเลี่ยงการเจอแสงแดดโดยตรง ทาครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ SPF 30 ขึ้นไป
ฝ้าเลือดเกิดจากอะไร ?
“ฝ้าเลือด” เกิดจากเส้นเลือดบริเวณใบหน้ามีปัญหา เสียสภาพ ไม่สามารถกักเก็บเลือดได้ ทำให้เลือดซึมออกมาที่บริเวณใต้ผิวหนัง และยังเป็นฝ้าที่คนไทยนิยมเป็นกันมากที่สุด ส่วนใหญ่คนที่เป็นฝ้าเลือด มักจะมีปัญหาเรื่องผิวบาง แสบผิวเวลาโดนแดด บางรายทาครีมก็แสบผิว การบำรุงรักษา จึงต้องเริ่มจากการฟื้นฟูผิวและป้องกันผิวไปพร้อมๆ กัน ซึ่งสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิด “ฝ้าเลือด” มีดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
- การทานยาที่มีส่วนประกอบคล้ายๆฮอร์โมน เช่น ยาคุม ยากันชัก
- การทาครีมหน้าขาวที่ไม่ได้มาตรฐาน
- การลอกผิวด้วยสารเคมี ตามสถาบันความงาม หรือซื้อครีมลอกผิวมาใช้เอง
- การทำเลเซอร์ แล้วดูแลผิวหน้าหลังเลเซอร์ไม่ดี
วิธีดูแลรักษาฝ้าเลือด
- หยุดใช้ครีมที่ก่อให้เกิดผิวบอบบางเช่น ครีมที่มีสารไฮโดรคิวโน และสารเสตียรอยในรูปแบบครีมหน้าขาวตามอินเตอร์เน็ต ที่ไม่ได้รับการรับรองจาก อย. ซึ่งครีมเหล่านี้จะทำร้ายผิวหน้าให้บางลง และไวต่อแสงแดดทำให้เกิดฝ้าแดดตามมาจนเป็นฝ้าฝังลึก คนที่เป็นฝ้าเลือดก็จะมีฝ้าที่ชัดขึ้น และทำให้รักษาฝ้ายากมากยิ่งขึ้น
- หมั่นทาครีมกันแดดเป็นประจำก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง เพราะครีมกันแดดจะช่วยบรรเทารังสี UV และความร้อนจากแสงแดด จอคอมพิวเตอร์ จอมือถือ และความร้อนจากหลอดไฟได้ระดับหนึ่ง ทำให้รอยฝ้าเลือดสีจางลงได้ เพราะฝ้าเลือดมักจะเข้มเมื่อเจอความร้อนนั่นเอง นอกจากทาครีมกันแดดแล้วก็ควรสวมหมวก หรือกางร่มเมื่อต้องเผชิญกับแสงแดดเป็นเวลานาน ๆ ด้วย
- สามารถทานยาปรับธาตุในร่างกายได้เช่น ยาฟอกเลือดที่เป็นยาจีนหรือยาไทย ยาเหล่านี้จะช่วยปรับธาตุในร่างกายให้สมดุลขึ้น ส่วนยาฟอกเลือดจะช่วยขับสารพิษในเลือดทำให้เลือดสะอาดสีเลือดไม่เข้มหรืออ่อนเกินไป เมื่อร่างกายได้ปรับสมดุล และเลือดสะอาดขึ้นแล้ว รอยฝ้าเลือดก็จะค่อยๆจางลงได้ (ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญโดยตรงก่อนรับประทายยา)
- เลือกใช้ทาครีมรักษาฝ้าจากสารสกัดธรรมชาติ ที่มีส่วนช่วยบำรุงผิวที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และบำรุงเซลล์ผิว เช่น กลุ่มแคโรทีนอยด์ Vitamin C, E ครีมรักษาฝ้าเหล่านี้จะช่วยปรับสีผิวโดยรอบของฝ้าให้ค่อยๆกระจ่างใสขึ้นได้ ทำให้รอยฝ้าค่อยๆจางลง
- ทานอาหารที่มีประโยชน์เน้นผักและผลไม้หลากสีเพื่อบำรุงผิว การพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และการทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง สิ่งเหล่านี้มีผลทำให้ฝ้าจางลงได้
การดูแลตัวเองหลังการได้รับการรักษา จะช่วยให้ฝ้ากลับมาได้ยากขึ้น และยังช่วยให้ผิวหน้าสวยไร้ฝ้าได้ยาวนานมากขึ้นอีกด้วย
ฝ้าแดดเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
“ฝ้าแดด” เกิดขึ้นจาก รังสี UVA ที่ทำร้ายผิวหน้า ซึ่งรังสียูวีเอจะมีช่วงคลื่นที่ยาวกว่ารังสียูวีบี จึงสามารถทำลายผิวได้ลึก จนเม็ดสีเมลานินทำงานหนักขึ้น เนื่องจากเม็ดสีเมลานินนั้นมีหน้าที่กรองรังสียูวี เมื่อผิวได้รับแสงแดดมากขึ้น เมลานินก็จะถูกผลิตออกมามากขึ้น จนเกิดเป็นรอยดำ ที่เรียกว่า “ฝ้าแดด” นั่นเอง
นอกจาก “แสงแดด” จะทำให้เกิดฝ้าได้แล้ว ความร้อนจากเตา แสงไฟ แสงหน้าจอโทรศัพท์ เครื่องสำอางค์ ยาคุมกำเนิด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และกรรมพันธุ์ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน
วิธีดูแล รักษาฝ้าแดด
- ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ประมาณ 30-50 PA+++ ก่อนออกจากบ้าน 45 นาที และหากต้องเผชิญแสงแดดโดยตรงควรทาระหว่างวันอีกครั้ง เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดที่ดียิ่งขึ้น หลีกเลี่ยงการกระทบกับแสงแดด และความร้อนจากไฟนีออน จอคอมพิวเตอร์ เป็นเวลานานๆ เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถปล่อยคลื่นรังสี UV ทำร้ายผิวให้เกิดรอยไหม้คล้ำได้
- ใช้ครีมรักษาฝ้าที่ไม่มีสารเคมีทำร้ายผิว เช่น ครีมรักษาฝ้าที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ อาร์บูติน กรดโคจิก AHA วิตามินซี และสารสกัดอื่นๆที่ช่วยลดรอยฝ้า กระ เช่น กรดแอเซเลอิค และกรดเรตินอยด์ ซึ่งจะเป็นกรดที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวคล้ำให้หลุดลอกได้ ฝ้าจึงค่อยๆจางลงได้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ผักผลไม้ที่มีวิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ วิตามินซีอย่าง ส้ม แอปเปิ้ล มะละกอ แตงโมง รวมถึงผักใบเขียวต่างๆด้วย เมื่อร่างกายได้รับประทานสิ่งเหล่านี้เข้าไป จะช่วยในการขับถ่าย ขับล้างสารพิษในร่างกาย ฝ้า กระ ก็จะค่อยๆทุเลาลง
- พอกหน้าด้วยสมุนไพรรักษาฝ้า เช่น หัวไชเท้า ว่านหางจระเข้ แตงกวา และแครอท เป็นต้น สมุนไพรเหล่านี้จะไม่เป็นอันตรายต่อผิวหน้า และช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าได้ดี ทำให้ฝ้าค่อยๆจางลง
- การใช้เลเซอร์รักษาฝ้าด้วยโปรแกรมการรักษา เพราะหากฝ้าแดดที่เป็นอยู่ฝังลึกเป็นเวลานาน ควรใช้เลเซอร์เป็นทางเลือกในการรักษา เพราะการทำเลเซอร์ทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวเก่าและสร้างผิวใหม่ขึ้น และยังสามารถเจาะจงบริเวณที่จะทำการรักษาได้เนื่องจากแพทย์ผิวหนังสามารถควบคุมความเข้มข้นของการรักษาได้ ลำแสงเลเซอร์สามารถเข้าถึงได้ตั้งแต่ผิวหนังชั้นบนสุดจนถึงผิวหนังชั้นล่างสุด ทำให้ฝ้าที่เกิดจางแดดจางลงได้
ข้อแนะนำ – หลังทำเลเซอร์ควรปฏิบัติตามที่แพทย์กำหนด เพราะอาจทำให้ ผิวบอบบางไวต่อแดด และฝ้าฝังลึกยิ่งกว่าเดิม
หมายเหตุ : หากอาการรักษาฝ้าไม่ดีขึ้น ควรไปพบ หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง เพื่อรับยารักษาฝ้า และปรึกษาคำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อได้รับการรักษาฝ้าให้ดีขึ้นตามลำดับ
กระ มีกี่ชนิด? และกระเกิดจากอะไร ?
กระแต่ละชนิดมีลักษณะและสาเหตุการเกิดกระบนใบหน้าที่แตกต่างกันออกไป แบ่งได้ 4 ชนิด
-
กระตื้น
กระตื้น มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเล็กๆ มักพบบริเวณที่สัมผัสแดดมาก เช่น โหนกแก้มทั้ง 2 ข้าง , จมูก ในบางรายกระอาจกระจายทั่วหน้า ลำคอ แขน และหน้าอก เป็นต้น โดยส่วนมากจะพบบ่อยในชาวยุโรป
กระตื้น เกิดจากเซลล์เม็ดสีใต้ผิวหนังทำงานผิดปกติ โดยสาเหตุที่เซลล์เม็ดสีทำงานผิดปกตินั้นส่วนใหญ่มาจากพันธุกรรม ทำให้เซลล์เม็ดสีมีความไวต่อแสงแดดมากกว่าปกติ ทำให้เกิดกระบนในหน้าตั้งแต่เด็ก ประกอบกับการสัมผัสกับแสงแดดเป็นประจำโดยไม่มีการป้องกันแสงแดด ก็มีโอกาสทำให้กระเข้มขึ้น เพิ่มจำนวนมากขึ้น และขยายใหญ่ขึ้นด้วย
-
กระลึก
กระลึก มีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ หรือเป็นแผ่นสีน้ำตาล เทา ดำ ขอบไม่ชัด มองเผินๆ คล้ายฝ้า มักพบบริเวณ โหนกแก้ม ดั้งจมูก ขมับทั้ง 2 ข้าง เป็นต้น โดยกระชนิดนี้พบบ่อยในชาวเอเชีย โดยเฉพาะในคนญี่ปุ่น จีน และไทย
กระลึก เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดสีบริเวณชั้นหนังแท้ โดยจะพบตั้งแต่แรกเกิด และถูกกระตุ้นโดยรังสี UV จากแสงแดด ร่วมกับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นช่วงวัยรุ่นหรือช่วงตั้งครรภ์ อายุที่มากขึ้นก็มีส่วนทำให้กระเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
-
กระเนื้อ
กระเนื้อ มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ สีน้ำตาลอ่อน หรือน้ำตาลเข้ม พบบริเวณใบหน้า ลำคอ หน้าอก หลัง โดยอาจขึ้นเป็นตุ่มเนื้อเล็กๆ แล้วค่อยขยายใหญ่ขึ้น นูน และมีสีเข้มขึ้น โดยมีการเจริญเติบโตค่อนข้างช้า
กระเนื้อ เกิดจากผิวหนังชั้นหนังกำพร้าเจริญเติบโตมากผิดปกติ ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดกระ คือแสงแดดและอายุที่มากขึ้น โดยยิ่งมีอายุมากขึ้น ขนาดก็จะใหญ่ขึ้นและจำนวนก็มากขึ้น
-
กระแดด
กระแดด มีลักษณะเป็นจุดหรือปื้นเรียบๆ สีน้ำตาลหรือสีดำขนาดเล็ก ขอบชัด พบบริเวณที่สัมผัสกับแสงแดดบ่อยๆ เช่น ใบหน้า แขน ขา เป็นต้น ส่วนใหญ่เกิดในผู้ที่มีผิวขาวและมีอายุค่อนข้างมาก
กระแดด เกิดจากการได้รับแสงแดดแรงๆ การเล่นกีฬา ทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือบางครั้งอาจมาจากการรักษาโรคอื่นๆ เช่น การรักษาโรคสะเก็ดเงินด้วยการฉายแสง UVA ก็มีผลทำให้เกิดกระแดดได้เช่นกัน
วิธีการรักษากระ รักษากระอย่างไร ?
-
หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดกระ
- แสงแดด คือตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดกระ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงกันสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรสวมหมวก กางร่มหรือสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด รวมทั้งทาครีมกันแดดที่ช่วยป้องกันรังสีUV โดยควรมีค่า SPF 30 Pa+++ ขึ้นไป
- ยาบางชนิด ที่มีฮอร์โมนเป็นส่วนประกอบ เช่น ยาคุมกำเนิด ก็ส่วนทำให้เกิดกระได้ ดังนั้นอาจลองปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรถึงทางเลือกอื่นๆ ในการคุมกำเนิด
-
ทายารักษากระ
การรักษากระ สามารถทำได้ด้วยการทายา เช่น AHA (กรดผลไม้) หรือยาที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ ซึ่งช่วยในการผลัดเซลล์ผิวเก่าและกระตุ้นให้สร้างเซลล์ผิวใหม่ แต่วิธีนี้อาจเห็นผลช้า โดยต้องทาติดต่อกันอย่างต่อเนื่องประมาณ 2-6 เดือนจึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้หลายคนที่มีปัญหาเรื่องกระ หรือฝ้า อาจเคยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือรักษาฝ้าที่มีส่วนผสมของสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ซึ่งจะออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง ทำให้ใบหน้าแลดูกระจ่างใสขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “ครีมหน้าขาว” แต่ผลข้างเคียงก็ร้ายแรงมาก เช่น รู้สึกระคายเคืองต่อผิว เกิดจุดด่างขาวที่ผิวหน้า ผิวหน้าดำ เกิดตุ่มนูนสีดำบริเวณที่ทายาบ่อยๆ เช่น โหนกแก้มและสันจมูก และหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานมากกว่า 6 เดือน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อภายในผิวหนังทำให้เกิดเป็นฝ้าถาวร รักษาไม่หายได้อีกด้วย และยังเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง ปัจจุบันยาชนิดนี้ถูกสังห้ามนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่วางจำหน่ายทั่วไป
-
รักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์
เทคโนโลยีการแพทย์มีหลากหลายรูปแบบที่ช่วยบรรเทา รักษากระบนใบหน้าให้จางลงได้ วิธีที่เป็นที่นิยมคือการใช้เลเซอร์เพื่อทำให้กระแลดูจางลง การรักษาแบบนี้จะเป็นการยิงคลื่นแสงความยาวคลื่นต่างๆ ลงไปถึงชั้นผิวด้านใน เพื่อให้ผิวซ่อมแซมตัวเอง พร้อมกับผลัดเซลล์ผิวได้เร็วยิ่งขึ้น นอกจากการทำเลเซอร์ก็ยังมีวิธีรักษากระรูปแบบอื่นๆ เช่น การทำทรีตเมนท์ การฉีดยาเมโส เป็นต้น โดยวิธีการรักษากระนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ