รอยแผลเป็นจากสิว

รอยแผลเป็นจากสิวคืออะไร มีกี่แบบ แก้ยังไงไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

Facebook
Twitter

แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากมีสิวบนใบหน้าอันเกลี้ยงเกลากันอยู่แล้วใช่ไหมล่ะครับ เพราะนอกจากจะดูเป็นจุดด่างพร้อยที่ลดความมั่นใจของเราแล้ว หากเป็นสิวอักเสบรุนแรงก็อาจทิ้งรอยแผลเอาไว้ให้เราต้องมานั่งตามแก้ตามรักษากันอีกยาวเลยทีเดียว ว่าแต่รอยแผลเป็นจากสิวคืออะไร มีกี่แบบ แบบไหนรักษายากสุด แล้วมีวิธีแก้อย่างไรไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังครับ

รอยแผลเป็นจากสิวคืออะไร

เป็นรอยแผลที่เกิดจากสิวอักเสบที่เกิดจากปริมาณเชื้อแบคทีเรีย P. acnes (Propionibacterium Acnes/Cutibacterium Acnes) มีมากเกินไปและกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานจนเกิดการอักเสบบริเวณรูขุมขนเพื่อกำจัดเชื้อดังกล่าว เมื่อเกิดสิวอักเสบแล้วเชื้อแบคทีเรีย P. acnes จะเข้าไปทำลายคอลลาเจนและเนื้อเยื่อบริเวณโดยรอบ แถมยังกระตุ้นให้เกิดรอยดำหรือรอยแดงในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดเป็นรอยแผลที่ไม่สามารถหายได้เองภายในระยะเวลาสั้นๆ จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี

รอยแผลเป็นจากสิว มีกี่แบบ อะไรบ้าง

รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวมีทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ รอยดำ (Post Inflammatory Hyperpigmentation) รอยแดง (Post Inflammatory Erythema) รอยหลุมสิว (Atrophic Scars) และรอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic/Keloid Scars) โดยรอยแผลเป็นแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันดังต่อไปนี้

1. รอยดำ (Post Inflammatory Hyperpigmentation)

เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวหัวหนองและสิวอุดตันที่เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงและกระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocytes) ผลิตเมลานินออกมามากเกินไปจนเห็นเป็นรอยดำชัดเจนกว่าบริเวณอื่น ซึ่งรอยดำจากสิวจะใช้ระยะเวลาในการรักษามากกว่ารอยแดงจากสิว นอกจากนี้ยังเกิดจากการรักษาสิวด้วยเครื่อง Pico Laser หรือการบำบัดด้วยแสงบางชนิดก็ได้เช่นกันครับ

2. รอยแดง (Post Inflammatory Erythema)

เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากต่อมไขมันผลิตน้ำมัน (Sebum) ออกมามากเกินไปจนไปอุดตันอยู่ในรูขุมขน เมื่อน้ำมันมารวมกับเซลล์ผิวที่ตายและเชื้อแบคทีเรียแล้วก็จะกลายมาเป็นสิวอักเสบ ส่งผลให้ร่างกายลำเลียงเลือดไปยังสิวอักเสบเพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อและทำให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังขยายตัวจนกลายเป็นรอยแดง

3. รอยหลุมสิว (Atrophic Scars)

เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากกระบวนการสมานแผลของร่างกายที่ไม่สมบูรณ์เนื่องจากเชื้อแบคทีเรีย P. acnes ได้เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อและคอลลาเจนบริเวณชั้นผิวหนังแท้ ส่งผลให้เนื้อเยื่อและคอลลาเจนบริเวณดังกล่าวมีปริมาณไม่เพียงพอและเกิดเป็นพังผืดที่มีลักษณะคล้ายหลุม โดยสิวที่ก่อให้เกิดหลุมสิวมีทั้งสิวอักเสบตุ่มแดง (Papule acne) สิวหัวหนอง (Pustule acne) สิวหัวช้าง (Cystic acne) และสิวเป็นไต (Nodule acne) รอยหลุมสิวแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ตามระดับความลึกของหลุมจากน้อยสุดไปมากสุด ได้แก่

  • Rolling Scars เป็นหลุมสิวที่มีรอยแผลกว้างคล้ายคลื่น มีปากหลุมกว้างประมาณ 4-5 มิลลิเมตร จัดเป็นหลุมสิวที่รักษาง่ายที่สุดเนื่องจากมีระดับความลึกที่ตื้นกว่าหลุมสิวแบบอื่น
  • Boxcar Scars เป็นหลุมสิวที่มีลักษณะคล้ายกล่องสี่เหลี่ยมออกทรงกลมรี มีขอบกว้างและชัดเจน มีขนาดใหญ่ประมาณ 3-5 มิลลิเมตร ฐานหลุมค่อนข้างแข็งและตึงเนื่องจากเริ่มมีพังผืดเกิดขึ้นในหลุมสิวแล้วแต่ยังมีความลึกไม่ถึงชั้นรูขุมขน มักพบบริเวณแก้มและขมับ จัดเป็นหลุมสิวที่มีความรุนแรงระดับปานกลาง ต่อให้รักษาหายแล้วก็มีโอกาสเกิดจุดด่างดำอยู่บ้างในคนไข้บางราย
  • Ice-pick Scars เป็นหลุมสิวที่มีปากแผลแคบแต่มีหลุมลึกไปจนถึงชั้นรูขุมขนเนื่องจากสิวกินเนื้อและทำลายคอลลาเจนเข้าไปถึงชั้นผิวหนังแท้ หรืออาจเกิดจากการกด/บีบสิวอุดตันจนทำให้เนื้อเยื่อบริเวณสิวได้รับความเสียหายมากเกินไป หลุมสิวชนิดนี้จัดเป็นหลุมสิวที่รักษายากที่สุดและใช้เวลานานพอสมควร

4. รอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic/Keloid Scars)

เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากผิวหนังถูกกระตุ้นให้ผลิตเนื้อเยื่อบริเวณสิวอักเสบในปริมาณที่มากเกินไปจนเนื้อเยื่อนูนออกมามากกว่าบริเวณโดยรอบ รอยแผลเป็นอาจมีสีแดงหรือสีชมพูก็ได้ บางรายอาจมีอาการคันหรือปวดแผลร่วมด้วย นอกจากนี้รอยแผลเป็นนูนอาจเกิดจากอาการบาดเจ็บจากการฉีดขาดของเนื้อเยื่อ แผลจากไฟไหม้ หรือแผลจากการผ่าตัดได้อีกด้วย

รอยแผลเป็นจากสิว หายได้ไหม

หลายคนมักเข้าใจผิดว่ารอยแผลเป็นจากสิวสามารถหายได้เองตามธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริงแล้วรอยแผลเป็นเหล่านี้ไม่สามารถหายได้เองหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี

รอยแผลเป็นจากสิว กี่วันหาย

แม้ว่ารอยแผลจากสิวส่วนใหญ่จะไม่หายไปได้เอง แต่หากเป็นรอยแผลเป็นที่มีความรุนแรงไม่มากนักบางส่วนก็อาจหายเองได้ เพียงแต่อาจใช้เวลานานประมาณ 2-4 เดือน หรือบางรายอาจเป็นหลักปีเลยทีเดียว

รอยแผลจากสิว รักษายังไง

1. วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวแบบธรรมชาติ

แม้ว่ารอยแผลจากสิวบางประเภทจะรักษาได้ด้วยการมาสก์หน้าด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติ แต่วิธีนี้อาจต้องอาศัยการรักษาเป็นประจำประมาณสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และต้องทำอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 4-6 เดือน ที่สำคัญต้องอาศัยใจสู้ด้วยเพราะวิธีนี้จะไม่เห็นผลในทันที อาจใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเริ่มเห็นผลและเห็นผลทีละน้อยด้วย จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาแผลแบบเร่งด่วน

  • น้ำมะนาวสด บีบน้ำมะนาว 1-2 หยดลงบนคัตเติ้ลบัตแล้วแต้มลงบนบริเวณที่เป็นรอยสิว จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาทีแล้วค่อยล้างออก ทั้งนี้อาจใช้น้ำมะนาวผสมดินสอพองทาแทนก็ได้หากรู้สึกแสบร้อนจากการทาน้ำมะนาวเพียงอย่างเดียว
  • ว่านหางจระเข้ ปอกเปลือกว่านหางจระเข้ให้เหลือแค่วุ้นและนำมาล้างให้สะอาดก่อนนำไปหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และนำไปพอกให้ทั่วใบหน้าประมาณ 15-20 นาที ก่อนจะล้างออกด้วยน้ำสะอาด
  • มะขามเปียก+น้ำผึ้ง+นมสด นำน้ำมะขามเปียกมาผสมน้ำผึ้งกับนมสดในอัตราส่วน 1:1:1 จากนั้นคนให้เข้ากันและพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 ก่อนล้างออก
  • มะเขือเทศ+ข้าวโอ๊ต+โยเกิร์ต นำมะเขือเทศมาผสมข้าวโอ๊ต 1 ช้อนโต๊ะและโยเกิร์ตอีก 1 ช้อนโต๊ะ จากนั้นคนให้เข้ากันและพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 ก่อนล้างออก

2. ทาครีมรักษารอยสิว

โดยครีมที่ใช้จะต้องมีส่วนประกอบของสารบำรุงผิวหน้า ได้แก่ เรตินอล วิตามินซี กรดซาลิไซลิก กรด AHA กรดแลคติก และกรดอะซีลาอิก และไม่ควรมีส่วนผสมต้องห้ามอย่างสารปรอท กรดวิตามินเอ และสารสเตียรอยด์ที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อผิวหน้าได้ในระยะยาว อีกทั้งไม่เหมาะกับผู้ใช้บางกลุ่มอย่างสตรีมีครรภ์หรือผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายที่อาจเป็นอันตรายต่อผิวหน้าได้ง่ายกว่าคนทั่วไป สำหรับส่วนประกอบต่างๆ ในครีมรักษารอยสิวมีคุณสมบัติแตกต่างกันดังต่อไปนี้

  • เรตินอล (Retinol) ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่า ลดรอยแผลเป็นและริ้วรอยต่างๆ ต่อต้านอนุมูลอิสระและชะลอริ้วรอยแห่งวัย ลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี ช่วยให้ผิวหน้ากลับมาสว่างใส เรียบเนียน
  • วิตามินซี (Vitamin C) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดรอยแผลเป็นต่างๆ จากสิว เสริมสร้างการสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจน ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือ BHA (Beta Hydroxy Acid) ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายและกำจัดสิ่งสกปรกบนผิวหน้า ลดการอุดตันของรูขุมขน ลดรอยแดงจากสิว กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว
  • กรดผลไม้ AHA (Alpha Hydroxy Acids) ช่วยลดเลือนริ้วรอย ปรับสีผิวให้เรียบเนียนทั่วใบหน้า เติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ลดอาการอักเสบของผิว ช่วยกระชับรูขุมขน ลดเลือนรอยสิวให้จางลง
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียบนผิวหน้า ยับยั้งการผลัดเซลล์ของหนังกำพร้าที่มากเกินไป จุดด่างดำแลดูจางลง

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: JUVGEN คืออะไร ทำไมถึงตอบโจทย์การดูแลผิวหน้าของคนยุคใหม่

3. ใช้ครีมกันแดดทุกครั้งเมื่อออกนอกบ้าน

แม้ว่าแสงแดดจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขอย่างฮอร์โมนเซโรโทนิน (Serotonin) และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตเพื่อขับเหงื่อและน้ำมันส่วนเกินออกจากผิวหน้า แต่แสงแดดก็อาจทำให้ผิวแห้งเสียและกระตุ้นการผลิตน้ำมันที่มากเกินไปจนไปอุดตันรูขุมขนและเกิดสิวตามมา ดังนั้นคุณควรทาครีมกันแดดที่มีเนื้อครีมฟลูอิด (Fluid) หรือแบบเจล (Gel) ซึ่งเป็นเนื้อครีมแบบบางเบา เลือกครีมที่ไม่มีส่วนผสมที่อาจปิดกั้นรูขุมขนจนกลายสิวอุดตัน และที่สำคัญอย่าลืมเลือกครีมที่มีส่วนผสมของ L-Carnitine ที่ช่วยคุมความมันได้นานถึง 8 ชั่วโมงด้วยนะครับ

4. เลเซอร์รอยสิว

เป็นการยิงพลังงานเข้มข้นสูงเข้าไปในชั้นผิวตามความยาวคลื่นที่เหมาะสมไปยังบริเวณที่เกิดรอยแผลเป็นจากสิวเพื่อกำจัดผิวหนังชั้นนอกที่มีรอยสิวและกระตุ้นการสร้างคอลลเจน อีกทั้งช่วยกระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวแลดูเรียบเนียนขึ้น ในปัจจุบันเลเซอร์รอยสิวมีทั้งแบบเลเซอร์ผลัดเซลล์ผิว (Ablative Laser resurfacing), เลเซอร์ที่ไม่ทำให้ผิวลอก (Non-Ablative Laser Resurfacing) และเลเซอร์ที่ทำให้ผิวลอกเฉพาะส่วน (Fractionated Laser Resurfacing) แม้เลเซอร์รอยสิวจะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยแผลเป็นและรอยหมองคล้ำได้ แต่วิธีนี้อาจรักษาได้เพียงรอยสิวที่มีความลึกไม่มากนักและอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ง่ายด้วย

5. JuvGenesis

เป็นเทคนิคการรักษาปัญหาหลุมสิวที่เน้นไปที่การฟื้นฟูผิวหนังด้วยตัวเอง ถูกคิดค้นโดย ดร.จิน หรือนายแพทย์ จินเซฮุน (Dr. Jin Se-hun) ศัลยแพทย์ชื่อดังจากประเทศเกาหลี สามารถรักษาหลุมสิวตื้นได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น Rolling scar, Box scar หรือ Ice-pick Scars ก็ตาม เพียงแค่ฉีด Co2 foam ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) และกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) อนุภาคเล็กเข้าไปยังชั้นหนังแท้ใต้แผลเป็นเพื่อฉีกเซลล์ทิ้งและกระตุ้นการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากขึ้นมาเติมเต็มหลุมสิวให้กลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง JUVGEN แตกต่างจากการรักษาหลุมสิวแบบอื่นตรงที่เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการรักษา และที่สำคัญยังเห็นผลลัพธ์ถาวรภายในการรักษาเพียงครั้งเดียว ไม่จำเป็นต้องกลับมาฉีดซ้ำเหมือนการฉีดฟิลเลอร์ (Dermal filler) หรือการเลเซอร์หลุมสิว (Pico Laser)

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: JUVGEN คืออะไร ทำไมถึงตอบโจทย์การดูแลผิวหน้าของคนยุคใหม่

บทความที่น่าสนใจ

ทำ Juvgen ที่ไหนดี ทำไมต้อง Gentle Clinic

Gentle Clinic เราเป็นเจ้าแรกในไทยที่ใช้เทคนิคการรักษาหลุมสิว JuvGenesis จาก Dr.จิน (Jin Se-hun) ที่กล้าการันตีผลลัพธ์หลังการรักษา ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องมาทำซ้ำ และที่สำคัญตัวเครื่องมือถูกออกแบบมาสำหรับรักษาปัญหาหลุมสิวโดยเฉพาะ จึงรักษาปัญหาได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ปลอดภัยต่อทุกสีผิว (ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงเหมือนเลเซอร์) ระหว่างทำไม่จำเป็นต้องแปะยาชาเพราะไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาเหมือนวิธีอื่นๆ อีกด้วย JuvGenesis ช่วยให้คุณกลับมามีผิวหน้าที่เรียบเนียนขึ้นอีกครั้ง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น Rolling scar, Box scar, Ice-pick Scars, หลุมเล็ก, หลุมใหญ่ หรือหลุมลึกก็ตาม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาหลุมสิวแบบเร่งด่วนและะรักษาถาวร นอกจากเทคนิคการรักษาและเครื่องมือคุณภาพสูงแล้ว เรายังมีทีมแพทย์ของมากประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์และรักษาได้อย่างตรงจุด มีช่องทางการติดต่อให้ผู้ที่สนใจทั้ง 4 ช่องทาง  เพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุดจากเรา

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม JuvGenesis

  • เบอร์โทรศัพท์: 099-245-7555
  • Line: https://bit.ly/Gentle4Men
  • Facebook: Gentle Clinic
  • Instagram: gentleclinic_thailand

แชร์บทความนี้

Facebook
Twitter

พร้อมยินดีให้คำปรึกษา

เจนเทิล คลีนิก เปิดให้บริการเวลา 12.00 – 20.00 น.

บทความที่น่าสนใจ