เจ็บสิว บีบดีไหม มีวิธีบรรเทาอาการอย่างไรบ้าง

Facebook
Twitter

นอกจากจะเป็นจุดเด่นที่ลดความมั่นใจให้กับใครหลายคนแล้ว สิวยังสร้างความลำบากในการใช้ชีวิตพอสมควรเลยทีเดียว พอจะบีบก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะกลายเป็นหลุมสิวลึก แต่พอจะล้างหน้าก็รู้สึกเจ็บทุกทีที่สัมผัส ว่าแต่อาการเจ็บสิวเกิดจากอะไร มีวิธีดูแลและป้องกันอย่างไรได้บ้าง วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังครับ

เจ็บสิว เกิดจากอะไร

อาการเจ็บสิวเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วยน้ำมัน เซลล์ผิว หรือแบคทีเรีย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อการติดเชื้อด้วยการส่งสารเคมีที่ทำให้เกิดการอักเสบ หรือฮีสตามีน (Histamine) ส่งผลให้บริเวณที่เกิดสิวบวม เมื่อเซลล์ผิวบวมขึ้นก็จะเกิดแรงดันบนผิวหนังบริเวณที่มีสิวและทำให้รู้สึกเจ็บ นอกจากนี้ระบบหมุนเวียนเลือดจะเพิ่มการไหลเวียนของเลือดมายังบริเวณนั้นเพื่อให้เกิดการฟื้นฟูเร็วขึ้น เมื่อเลือดมาหล่อเลี้ยงบริเวณนั้นมากขึ้นก็อาจทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้เช่นกัน

นอกจากนี้ยังเกิดจากการรักษาสิวแบบผิดวิธีด้วยการบีบหรือแกะสิวที่ทำให้เกิดการฉีกขาดหรือทำลายเนื้อเยื่อใต้ผิว ทำให้บริเวณนั้นเกิดการอักเสบและเกิดบาดแผลตามมา รวมถึงกระตุ้นให้สารฮีสตามีนหลั่งออกมามากขึ้น หรือหากบีบสิวหัวหนองออกมาก็จะทำให้แผลเปิดและเพิ่มโอกาสที่เชื้อแบคทีเรียจากภายนอกจะเข้าสู่ร่างกาย ส่งผลให้อาการเจ็บสิวรุนแรงยิ่งขึ้น

อาการเจ็บสิว มีกี่แบบ อะไรบ้าง

สำหรับระดับความรุนแรงของอาการเจ็บจะขึ้นอยู่กับประเภทของสิว แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่

1. อาการเจ็บระดับเล็กน้อย

เป็นอาการเจ็บที่เกิดจากสิวที่มีการอักเสบเพียงเล็กน้อย เช่น สิวหัวดำ สิวหัวขาว อาการเจ็บมักเกิดขึ้นเมื่อกดหรือสัมผัสเบาๆ บริเวณสิว แต่ไม่ค่อยมีอาการบวมแดงหรือการอักเสบมากนัก โดยทั่วไปแล้วหากรักษาสิวหาย อาการเจ็บก็จะหายไปเองภายในไม่กี่วัน

2. อาการเจ็บระดับปานกลาง

เป็นอาการเจ็บที่เกิดจากสิวที่เริ่มมีการอักเสบหรือมีหนอง เช่น สิวหัวหนอง หรือสิวที่มีอาการบวม ทำให้รู้สึกเจ็บมากขึ้นหากสัมผัสหรือกดสิว อาการเจ็บมักจะมาพร้อมกับอาการบวมแดง อาจรู้สึกร้อนบริเวณเกิดสิว ทำให้รู้สึกไม่สบายผิวและอาจต้องใช้เวลารักษาที่นานขึ้นกว่าสิวจะหาย โดยทั่วไปแล้วอาการเจ็บจะหายภายใน 2-5 วัน หลังจากรักษาสิวหายแล้ว

3. อาการเจ็บระดับรุนแรง

เป็นอาการเจ็บที่เกิดจากสิวอักเสบรุนแรง โดยเฉพาะสิวหัวช้าง ซึ่งเป็นสิวที่เกิดลึกถึงชั้นผิวหนัง หรืออาจเกิดจากสิวที่มีการติดเชื้อรุนแรง โดยอาการเจ็บจะเกิดจากจากการสัมผัสและการเคลื่อนไหวผิวหน้า หากเกิดขึ้นแล้วรู้สึกชัดเจนและรุนแรงมากกว่า 2 ประเภทแรก เนื่องจากมีการบวมแดงและมีหนอง/สารน้ำสะสมภายใน ทำให้บริเวณนั้นรู้สึกตึงและเจ็บมากขึ้น ส่วนอาการเจ็บจะยังคงอยู่และอาจใช้เวลานานกว่าจะหาย บางครั้งอาจต้องใช้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือการดูแลจากแพทย์

เจ็บสิว บีบสิวได้ไหม

หลายคนอาจมีวิธีการจัดการสิวที่เจ็บด้วยการบีบหรือแกะสิวออกหัวหนองออก แต่ที่จริงแล้วการบีบสิวออกด้วยมือของเราหรืออุปกรณ์ที่ไม่สะอาด อาจทำให้เกิดการติดเชื้อลุกลามไปยังบริเวณผิวอื่นๆ และที่สำคัญจะทำให้ผิวหนังบางลง เนื่องจากเกิดการระคายเคืองบริเวณที่กดสิว ทำให้ผิวฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: เป็นสิวหนอง บีบสิวได้ไหม ดูแลยังไงไม่ให้หน้าเป็นหลุม

เจ็บสิว ทําไงดี

1. งดการสัมผัส

หากคุณรู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัสสิว ดังนั้นเราขอแนะนำให้งดการสัมผัสหรือบีบสิวไปก่อนจนกว่าจะรักษาสิวหายขาด เพราะถ้าคุณสัมผัสบริเวณที่เกิดสิวก็จะทำให้เชื้อโรคที่เกาะติดอยู่บนนิ้วและก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อสิว ทำให้อาการเจ็บสิวรุนแรงยิ่งขึ้น

2. ทายาเฉพาะที่

อย่างที่บอกไปว่ายิ่งรักษาสิวหายไวเท่าไหร่ ก็ยิ่งบรรเทาอาการเจ็บได้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นคุณควรทายาเฉพาะที่ที่มีส่วนผสมของเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ที่ช่วยลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว โดยทั่วไปแล้วอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 3-5 วัน และสิวจะหายไปภายใน 7-10 วัน แต่หากเป็นสิวอักเสบรุนแรงอาจใช้เวลาประมาณ 10-14 วัน หรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการอักเสบและการตอบสนองต่อการรักษา

3. ทาครีมบรรเทาอาการ

นอกจากทายารักษาสิวแล้ว เราขอแนะนำให้ทาครีมที่มีส่วนผสมของไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) ที่ช่วยยับยั้งการปล่อยสารเคมีที่ทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย จึงช่วยลดอาการบวมแดงและความเจ็บปวดจากสิวได้มากขึ้น แต่ทั้งนี้ไม่ควรใช้เกิน 3-5 วัน เพื่อป้องกันข้างเคียงที่เกิดจากการใช้สเตียรอยด์ในระยะยาว

4. พบแพทย์

กรณีที่ทายารักษาแล้วอาการปวดไม่ดีขึ้นหรือรุนแรงกว่าเดิม เราขอแนะนำให้ไปพบแพทบ์ผิวหนังเพื่อหาทางรักษาอย่างถูกวิธี เพราะถ้าปล่อยไว้ก็อาจทำให้อาการปวดรุนแรงยิ่งขึ้น

สุดท้ายนี้การบรรเทาอาการที่ดีที่สุดนั้นคือการรีบรักษาปัญหาสิวให้หายด้วยวิธีที่ถูกต้อง เพราะถ้าคุณบีบหรือกดสิวแก้ปัญหา จริงอยู่ที่อาการเจ็บจะหายไป แต่นั่นเป็นความหายแบบชั่วคราวครับ เพราะเมื่อบีบสิวแล้วจะเพิ่มความเสี่ยงต่อที่ทำให้เกิดการติดเชื้อง่ายขึ้นและกลายเป็นสิวอักเสบรุนแรงตามมา กลายเป็นปัญหาผิวหน้าในระยะยาวได้ครับ

ถ้าเผลอบีบสิวเป็นหลุมสิวแล้ว ทำไงดี

โปรแกรม ScarSurgery หรือ ศัลยกรรมเสริมเนื้อใต้หลุมสิวถาวรด้วยเทคโนโลยี Juvgen จาก Gentle Clinic ที่ถูกคิดค้นด้วย ดร.จิน หรือนายแพทย์ จินเซฮุน (Dr. Jin Se-hun) ศัลยแพทย์ชื่อดังจากเกาหลี ผ่านการฉีด Co2 foam ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) และกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) อนุภาคเล็กเข้าไปยังชั้นหนังแท้ใต้แผลเป็น หลุมสิว หรือริ้วรอยร่องลึก โดยแพทย์จะฉีดสารเข้าไปทีละนิด ๆ เพื่อฉีกเซลล์ทิ้งและกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากเพื่อปิดหลุมสิวในทันที แต่หลังจากการรักษาประมาณ 30-60 วัน ตัวสารที่ฉีดเข้าไปจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากบริเวณหลุมสิว ส่งผลให้มีการเติมเต็มเนื้อเยื่ออย่างถาวร คนไข้จึงไม่จำเป็นต้องกลับมารักษาซ้ำเป็นรอบที่สอง

นอกจากนี้ตัวเครื่องจูวีเจนถูกออกแบบสำหรับรักษาปัญหาผิวหน้าโดยเฉพาะ คนไข้จึงไม่ต้องฉีดยาชาบรรเทาอาการเพราะไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองใดๆ ทั้งระหว่างและหลังการรักษาแล้ว และที่สำคัญยังไม่มีผลข้างเคียงหลังการรักษาอีกด้วยครับ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: บริการฉีดสร้างเนื้อหลุมสิวถาวร Juvgen จาก Gentle Clinic 

บทความที่น่าสนใจ

ทำ Juvgen ที่ไหนดี ทำไมต้อง Gentle Clinic

Gentle Clinic เราเป็นเจ้าแรกในไทยที่ใช้เทคนิคการรักษาหลุมสิว JuvGenesis จาก Dr.จิน (Jin Se-hun) ผ่านโปรแกรม ScarSurgery ที่กล้าการันตีผลลัพธ์หลังการรักษา ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องมาทำซ้ำ และที่สำคัญตัวเครื่องมือถูกออกแบบมาสำหรับรักษาปัญหาหลุมสิวโดยเฉพาะ จึงรักษาปัญหาได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ปลอดภัยต่อทุกสีผิว (ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงเหมือนเลเซอร์) ระหว่างทำไม่จำเป็นต้องแปะยาชาเพราะไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาเหมือนวิธีอื่นๆ อีกด้วย

นอกจากเทคนิคการรักษาและเครื่องมือคุณภาพสูงแล้ว เรายังมีทีมแพทย์ของมากประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์และรักษาได้อย่างตรงจุด มีช่องทางการติดต่อให้ผู้ที่สนใจทั้ง 4 ช่องทาง เพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุดจากเรา

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม JuvGenesis

แชร์บทความนี้

Facebook
Twitter

พร้อมยินดีให้คำปรึกษา

เจนเทิล คลีนิก เปิดให้บริการเวลา 12.00 – 20.00 น.

บทความที่น่าสนใจ