รักษาสิวอักเสบด้วยตัวเอง ใช้เวลานานแค่ไหน ดูแลผิวอย่างไรบ้าง

Facebook
Twitter

แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่การรักษาสิวอักเสบด้วยตัวเองถือเป็นทางเลือกสำหรับใครหลายคนที่ไม่ต้องการรักษาแบบเร่งด่วน แม้ว่าจะเป็นวิธีที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองและมีราคาถูกกว่า แต่ก็ใช้เวลานานประมาณนึงกว่าสิวอักเสบจะดีขึ้น ว่าแต่การรักษาด้วยตัวเองมีวิธีไหนบ้าง แต่ละวิธีใช้เวลานานเท่าไหร่ บทความนี้มีคำตอบครับ

ทำไมหลายคนถึงรักษาสิวอักเสบด้วยตัวเอง

การรักษาสิวอักเสบด้วยตัวเองเป็นทางเลือกที่สะดวกและประหยัดเวลา ไม่ต้องไปหาหมอ หากสิวที่เป็นอยู่มีอาการไม่รุนแรงมาก สามารถควบคุมความรุนแรงได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการรักษาทางการแพทย์ เช่น การใช้ยาทาเฉพาะที่ การดูแลผิวอย่างเหมาะสม แต่ทั้งนี้คุณจะต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับประเภทของสิวและต้องดูแลสิวเป็นประจำ จนกว่าสิวจะหายไปเอง

รักษาสิวอักเสบด้วยตัวเองใช้เวลานานแค่ไหน

การรักษาสิวอักเสบด้วยตัวเองโดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน แต่หากไม่มีการตอบสนองจากการรักษาประมาณ 1-2 สัปดาห์ก็อาจใช้เวลานานหลายสัปดาห์หรือเข้าหลักเดือนได้เช่นกันครับ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นระดับความรุนแรงของสิว ประเภทของผิว การตอบสนองต่อยา และความสม่ำเสมอในการดูแลผิว

หากสิวที่เป็นอยู่ในระดับไม่รุนแรงมากและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสิว เช่น ยาทาเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ควบคู่กับการดูแลผิวอย่างถูกวิธี สิวอักเสบจะค่อยๆ ยุบตัวและหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่หากรักษาสิวอักเสบด้วยตัวเองไม่มีการตอบสนองใดๆ หรือสิวลุกลามมากยิ่งขึ้น แนะนำให้พบแพทย์เพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติมครับ

รักษาสิวอักเสบด้วยตัวเอง มีวิธีไหนบ้าง

1. ล้างหน้าให้ถูกวิธี

การล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอนด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิห้องหรือเย็นและใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวจะช่วยขจัดสิ่งสกปรก ความมัน และแบคทีเรียที่สะสมบนผิว โดยไม่รบกวนสมดุลความชุ่มชื้นของผิว ทั้งนี้หลีกเลี่ยงการล้างหน้าบ่อยเกินไปเพราะอาจทำให้ผิวแห้งและเกิดการระคายเคืองได้ง่ายขึ้น ระหว่างที่ล้างให้ใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ เป็นวงกลม แล้วค่อยใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับหน้าเบาๆ เพื่อไม่ให้ผิวระคายเคืองและลดโอกาสการเกิดสิวใหม่

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: วิธีเช็คสภาพผิวหน้า เพื่อการดูแลอย่างถูกวิธี ห่างไกลหลุมสิว

2. ทายารักษาสิว

สำหรับยาทาที่ใช้รักษาสิวเฉพาะจุด ได้แก่ เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) ที่มีคุณสมบัติฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P. Acnes ที่ก่อให้เกิดการอักเสบและลดการอุดตันของรูขุมขน ส่วนกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ที่มีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าบนชั้นผิวหนังอย่างอ่อนโยน ลดการสะสมของสิ่งอุดตันภายในรูขุมขน และป้องกันการเกิดสิวใหม่ ส่วนวิธีการใช้ยาทาควรทาบางๆ เฉพาะจุดที่เป็นสิวหลังจากล้างหน้าเสร็จ เพียงวันละ 1-2 ครั้ง โดยเริ่มใช้ในปริมาณน้อยก่อน เพื่อดูการตอบสนองของผิว เพราะหากใช้มากเกินไปตั้งแต่ต้นอาจทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคือง

3. ทาครีมลดการอักเสบ

หลังจากทายารักษาสิวไปแล้วประมาณ 10–15 นาที ตัวยาจะค่อยๆ ซึมลงสู่ผิวที่เกิดสิว จากนั้นจึงค่อยทาครีมลดการอักเสบอย่างไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) เป็นครีมกลุ่มสเตียรอยด์ที่ช่วยลดอาการบวม แดง และคัน จากการอักเสบของผิวในระยะสั้น เหมาะสำหรับใช้ในสิวอักเสบรุนแรงมากหรือรู้สึกเจ็บสิวมาก ทั้งนี้ควรทาบางๆ หรือแบ่งทาสลับกับยารักษาสิว (ทายารักษาสิวช่วงเช้าและทาครีมลดการอักเสบช่วงเย็นหลังอาบน้ำเสร็จ)  ที่สำคัญควรใช้เพียง 3-5 วัน เท่านั้น หากใช้มากเกินไปอาจเกิดการระคายเคืองต่อผิว

ป้องกันสิวอักเสบได้ด้วยวิธีไหนบ้าง

นอกจากการล้างหน้าอย่างถูกวิธีแล้ว ยังมีอีกหลายวิธีที่ช่วยป้องกันการเกิดสิวอักเสบได้ในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็น

  • งดสัมผัสหน้าบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการถู แกะ เกาผิวหน้า หรือบีบสิว เนื่องจากมือของเราสัมผัสกับเชื้อโรคและสิ่งสกปรกที่สะสมจากสิ่งต่างๆ ตลอดทั้งวัน
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิว ควรเลือกเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ระบุว่า “Non-comedogenic” ที่ไม่ทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขนและไม่ก่อให้เกิดสิว รวมถึงเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณจริงๆ เพื่อให้ผิวได้รับการดูแลอย่างตรงจุด
  • ทำความสะอาดสิ่งที่สัมผัสกับใบหน้าเป็นประจำ โดยเฉพาะปลอกหมอน ผ้าเช็ดหน้า หรือโทรศัพท์มือถือ เพื่อหลีกเลี่ยงการสะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรก
  • รักษาสมดุลของฮอร์โมน ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมง จัดการความเครียดไม่ให้กระทบต่อการใช้ชีวิตมากเกินไป รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

แม้ว่าการรักษาสิวอักเสบด้วยตัวเองจะใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงเดือน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิวและการดูแลผิวของคุณ แต่หากคุณถอดใจไปซะก่อนหรือต้องการวิธีที่เห็นผลลัพธ์ในทันที อาจเลือกวิธีการรักษาทางการแพทย์อย่างการฉีดยาสเตียรอยด์ (สำหรับสิวอักเสบรุนแรง), การใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน หรือการทำทรีตเมนต์ด้วยเลเซอร์จะดีที่สุดครับ

แม้สิวอักเสบหายไปแล้ว แต่ทิ้งหลุมสิวไว้ต่างหน้า รักษาวิธีไหนดีที่สุด

โปรแกรม ScarSurgery หรือ ศัลยกรรมเสริมเนื้อใต้หลุมสิวถาวรด้วยเทคโนโลยี Juvgen จาก Gentle Clinic ที่ถูกคิดค้นด้วย ดร.จิน หรือนายแพทย์ จินเซฮุน (Dr. Jin Se-hun) ศัลยแพทย์ชื่อดังจากเกาหลี ผ่านการฉีด Co2 foam ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) และกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) อนุภาคเล็กเข้าไปยังชั้นหนังแท้ใต้แผลเป็น หลุมสิว หรือริ้วรอยร่องลึก โดยแพทย์จะฉีดสารเข้าไปทีละนิด ๆ เพื่อฉีกเซลล์ทิ้งและกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากเพื่อปิดหลุมสิวในทันที แต่หลังจากการรักษาประมาณ 30-60 วัน ตัวสารที่ฉีดเข้าไปจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากบริเวณหลุมสิว ส่งผลให้มีการเติมเต็มเนื้อเยื่ออย่างถาวร คนไข้จึงไม่จำเป็นต้องกลับมารักษาซ้ำเป็นรอบที่สอง

นอกจากนี้ตัวเครื่องจูวีเจนถูกออกแบบสำหรับรักษาปัญหาผิวหน้าโดยเฉพาะ คนไข้จึงไม่ต้องฉีดยาชาบรรเทาอาการเพราะไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองใดๆ ทั้งระหว่างและหลังการรักษาแล้ว และที่สำคัญยังไม่มีผลข้างเคียงหลังการรักษาอีกด้วยครับ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: บริการฉีดสร้างเนื้อหลุมสิวถาวร Juvgen จาก Gentle Clinic 

บทความที่น่าสนใจ

ทำ Juvgen ที่ไหนดี ทำไมต้อง Gentle Clinic

Gentle Clinic เราเป็นเจ้าแรกในไทยที่ใช้เทคนิคการรักษาหลุมสิว JuvGenesis จาก Dr.จิน (Jin Se-hun) ผ่านโปรแกรม ScarSurgery ที่กล้าการันตีผลลัพธ์หลังการรักษา ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องมาทำซ้ำ และที่สำคัญตัวเครื่องมือถูกออกแบบมาสำหรับรักษาปัญหาหลุมสิวโดยเฉพาะ จึงรักษาปัญหาได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ปลอดภัยต่อทุกสีผิว (ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงเหมือนเลเซอร์) ระหว่างทำไม่จำเป็นต้องแปะยาชาเพราะไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาเหมือนวิธีอื่นๆ อีกด้วย

นอกจากเทคนิคการรักษาและเครื่องมือคุณภาพสูงแล้ว เรายังมีทีมแพทย์ของมากประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์และรักษาได้อย่างตรงจุด มีช่องทางการติดต่อให้ผู้ที่สนใจทั้ง 4 ช่องทาง เพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุดจากเรา

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม JuvGenesis

แชร์บทความนี้

Facebook
Twitter

พร้อมยินดีให้คำปรึกษา

เจนเทิล คลีนิก เปิดให้บริการเวลา 12.00 – 20.00 น.

บทความที่น่าสนใจ