แม้ว่าหลุมสิวเยอะจะเป็นปัญหาที่พบได้โดยทั่วไป แต่ก็เป็นปัญหาที่ใครหลายคนแก้ไม่หายสักที ยิ่งถ้าคุณมีความเสี่ยงต่อจะเป็นสิวอักเสบง่ายด้วยแล้ว ก็ยิ่งกังวลว่าจะมีหลุมสิวโผล่ขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ ว่าแต่หลุมสิวที่เห่อขึ้นมาเยอะๆ มีสาเหตุมาจากอะไร มีวิธีดูแลและป้องกันอย่างไรไม่ให้สิวเห่อขึ้นมาเรื่อยๆ วันนี้ Gentle Clinic มีคำตอบครับ
หลุมสิวเยอะ เกิดจากอะไร
1. พันธุกรรม
ลักษณะทางพันธุกรรมของแต่ละคนส่งผลต่อโครงสร้าง, การทำงานของผิวหนัง รวมถึงการตอบสนองต่อฮอร์โมนด้วย หากคุณมีพันธุกรรมที่เสี่ยง เช่น มีขนาดต่อมไขมันมากเกินไปหรือต่อมไขมันผลิตน้ำมันซีบัม (Sebum) มากเกินไป ก็จะทำให้น้ำมันที่ผลิตออกมาเกินไปรวมตัวกับสิ่งสกปรกจากภายนอกและเซลล์ผิวที่ตายแล้วจนเกิดการอุดตันบริเวณรูขุมขนและเกิดสิวตามมา หรือหากใครที่มีพันธุกรรมที่มีผิวไวต่อฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgens), มีพันธุกรรมที่ทำให้เซลล์ผิวหนังหลุดลอกผิดปกติ, มีพันธุกรรมที่ไวต่อการอักเสบ หรือมีพันธุกรรมที่ไวต่อแบคทีเรียสิว P. acnes (Propionibacterium acnes) ก็อาจเพิ่มโอกาสในการเป็นสิวง่ายกว่าคนทั่วไป โดยพันธุกรรมเหล่านี้สามารถส่งต่อจากคนในครอบครัวได้และหากทั้งพ่อและแม่มีประวัติเป็นสิวง่าย ลูกก้จะมีโอกาสเป็นสิวง่ายขึ้นประมาณ 50-80%
2. ช่วงวัย
ช่วงอายุตั้งแต่ 12-18 ปี เป็นช่วงวัยที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจนที่กระตุ้นให้เกิดสิวทั้งในผู้ชายและผู้หญิง นอกจากนี้ยังรวมไปถึงช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมต่อลูกน้อยในครรภ์อีกด้วย
3. ผิวฟื้นตัวไม่ดีพอ
เมื่อมีอายุมากขึ้น ระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่และคอลลาเจนในร่างกายจะทำงานได้ไม่ดีเท่าเดิม ส่งผลให้ใช้เวลาฟื้นตัวจากแผลหรือเกิดการซ่อมแซมเนื้อเยื่อนานขึ้น นอกจากนี้ยังเกิดจากระบบไหลเวียนโลหิตไม่ดีโดยมีสาเหตุมาจากโรคเบาหวานหรือโรคหลอดเลือดแดง ส่งผลให้ผิวได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ
4. พฤติกรรมเสี่ยง
หลายคนอาจไม่รู้มาก่อนว่าตัวเองกำลังใช้ชีวิตหรือทำพฤติกรรมเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสในการเกิดหลุมสิวที่เยอะขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการ…
- บีบสิวบ่อยๆ หากคุณมีสิวขึ้นบ่อยและต้องคอยบีบสิวเพื่อกำจัดสิวออก การบีบสิวจะทำให้ผิวชั้นลึกได้รับความเสียหายและเกิดการอักเสบจนมีผลทำให้คอลลาเจนซ่อมแซมผิวหนังและเนื้อเยื่อบริเวณที่เกิดสิวได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จนกลายเป็นหลุมสิวตามมา
- อยู่ในพื้นที่กลางแจ้งเป็นเวลานาน รังสี UV จากแดดมีฤทธิ์ทำร้ายผิวและก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว นอกจากนี้อุณหภูมิที่สูงยังกระตุ้นให้ร่างกายขับเหงื่อออกมามากกว่าปกติเพื่อรักษาสมดุลของอุณหภูมิในร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ หากคุณไม่สวมหมวกหรือโม่งป้องกันใบหน้า และไม่ได้ทาครีมกันแดดด้วยแล้ว ก็จะทำให้ร่างกายผลิตน้ำมันออกมาเพื่อรักษาสมดุลของน้ำบนใบหน้าที่เสียไปจากการผลิตเหงื่อ ซึ่งน้ำมันบนใบหน้านี่เองที่ไปกระตุ้นให้เกิดสิวเห่อที่อาจพัฒนาเป็นหลุมสิวได้ในอนาคต
- รับประทานอาหารที่มีไขมันมากเกินไป โดยที่ไม่ได้รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของวิตามิน C และ E ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการบำรุงผิวให้แข็งแรง ก็จะทำให้ผิวของเราอ่อนแอและเสี่ยงต่อการเกิดสิวง่ายขึ้น
- ไม่ล้างเครื่องสำอางออกก่อนเข้านอน การปล่อยให้เครื่องสำอางติดค้างอยู่บนผิวหน้าตลอดเวลาลากยาวไปจนถึงเช้านั้นจะทำให้สิ่งสกปรกต่างๆ ที่เกาะติดอยู่บนผิวหน้าตลอดทั้งวันจะไปอุดตันอยู่ตรงรูขุมขนและเกิดสิวตามมา
- นอนน้อยเกินไป แม้ว่าหลายคนจะรู้ว่าการนอนประมาณ 7-8 ชั่วโมง จะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายพักผ่อนและฟื้นฟูระบบต่างๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่หลายคนอาจนอนน้อยเนื่องจากหน้าที่การงานหรือจากพฤติกรรมส่วนตัว เช่น ติดซีรีส์ เล่นเกม ปาร์ตี้ หากปล่อยให้ตัวเองนอนน้อยเป็นเวลานาน ก็จะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอยด์ (Glucocorticoids) ที่ผิดปกติ ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้มีฤทธิ์เป็นสเตียรอยด์ธรรมชาติ หากร่างกายมีฮอร์โมนชนิดนี้น้อยเกินไป จะทำให้ผิวเกิดการอักเสบ เป็นสิวง่ายขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้การนอนน้อยยังไปลดปริมาณคอลลาเจนที่ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ส่งผลให้การผลัดเซลล์ผิวช้าลงและเป็นสิวง่ายขึ้น
- ความเครียดสะสม ความเครียดจะกระตุ้นการผลิตไขมันจากต่อมไขมันให้มากขึ้น จนไปอุดตันอยู่ในรูขุมขนร่วมกับแบคทีเรีย เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และเส้นขน จนกลายเป็นสิวตามมา นอกจากนี้ความเครียดยังทวีความรุนแรงของสิวอักเสบได้มากขึ้นด้วย หากคุณไม่สามารถจัดการความเครียดได้ ก็จะไม่สามารถรักษาสิวให้หายขาดได้สักที
- การดูแลสิวไม่ถูกวิธี นอกจากการบีบสิวแล้วยังรวมไปถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง หรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อผิว ละเลยการดูแลผิวหน้า หรือแม้แต่การปล่อยให้เป็นสิวอยู่เรื่อยๆ ด้วย
หลุมสิวเยอะ รักษาได้ด้วยวิธีไหนบ้าง
- ทายารักษาหลุมสิว เป็นการทายาที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoids),วิตามิน C หรือกรดผลไม้ AHA/BHA ที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าและการสร้างคอลลาเจนที่มากขึ้น ช่วยสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาเติมเต็มหลุมสิวได้ เพียงแต่วิธีนี้เหมาะสำหรับหลุมสิวตื้นและจำเป็นต้องทาอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 4-6 เดือนกว่าจะเห็นผล
- การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling) เป็นการทาสารเคมีชนิด TCA หรือ Glycolic Acid เพื่อเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่าและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาดันหลุมสิว แม้จะเป็นวิธีที่เห็นผลได้จริงแต่ต้องใช้เวลารออยู่พอสมควร เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวตื้นเท่านั้น และอาจเกิดผลข้างเคียงรุนแรงต่อผิวหน้าหากใช้ในปริมาณที่มากเกินไป
- ไมโครนีดเดิล (Microneedle) เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กจำนวนมากแทงลงบนชั้นผิวหนังชั้นบนสุด (Epidermis) และบางส่วนในชั้นหนังแท้ (Dermis) ในบริเวณที่มีหลุมสิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินใหม่ ก่อให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ แม้จะช่วยรักษาหลุมสิวได้แต่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลังการรักษา ทั้งอาการระคายเคือง เจ็บปวด มีผื่นแดง ผิวหนังลอก ผิวตกสะเก็ดบริเวณที่รักษา หรืออาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อหลังการรักษาได้อีกด้วย
- การกรอผิว (Dermabrasion) เป็นการใช้เครื่องมือที่มีหัวขัดความเร็วสูงในการขัดผิวชั้นนอกสุด (Epidermis) และบางส่วนของชั้นหนังแท้ (Dermis) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและช่วยให้ผิวสร้างเซลล์ขึ้นมาใหม่ เพียงแต่วิธีนี้จะช่วยแก้ได้แค่หลุมสิว Rolling Scar และ Boxcar Scar เท่านั้น ไม่สามารถรักษาหลุมสิวลึกอย่าง Ice Pick Scar ได้ อีกทั้งเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำหรือการติดเชื้อหลังการรักษา นอจากนี้ยังต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณนึงเนื่องจากวิธีนี้จะทำให้ผิวหน้าไวต่อแดดมากขึ้น
หลุมสิวเยอะ รักษาด้วยวิธีไหนดีที่สุด
JUVGEN เทคนิคการรักษาหลุมสิวด้วยการฟื้นฟูผิวตัวเอง จาก Gentle Clinic ที่ถูกคิดค้นโดย ดร.จินเซฮุน (Dr. Jin Se-hun) ศัลยแพทย์ชื่อดังจากเกาหลี ด้วยวิธีการฉีด Co2 foam กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) อนุภาคเล็กลงไปในชั้นหนังแท้ใต้หลุมสิวเพื่อฉีกเซลล์เก่าที่เป็นหลุมสิวทิ้ง หลังจากนั้นจะกระตุ้นการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากขึ้นมาใหม่ใน 3-5 วัน เพื่อสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาเติมเต็มหลุมสิวให้เรียบเนียนภายในการรักษาเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นจะค่อยๆ เห็นผลขึ้นประมาณ 30-60 วัน เนื่องจากสารที่ฉีดเข้าไปจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากบริเวณหลุมสิว ส่งผลให้มีการเติมเต็มเนื้อเยื่ออย่างถาวร คนไข้จึงไม่จำเป็นต้องกลับมารักษาซ้ำอีกเป็นรอบสอง
นอกจากนี้ตัวเครื่องจูวีเจนถูกออกแบบสำหรับรักษาปัญหาผิวหน้าโดยเฉพาะ คนไข้จึงไม่ต้องฉีดยาชาบรรเทาอาการเพราะไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองใดๆ ทั้งระหว่างและหลังการรักษาแล้ว และที่สำคัญยังไม่มีผลข้างเคียงหลังการรักษาอีกด้วยครับ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: JUVGEN คืออะไร ทำไมถึงตอบโจทย์การดูแลผิวหน้าของคนยุคใหม่
บทความที่น่าสนใจ
- รอยสิวมีกี่แบบ เกิดจากอะไร แบบไหนรักษายากสุด
- สิวฮอร์โมนเกิดจากอะไร หายเองได้ไหม ดูแลยังไงไม่ให้สิวอักเสบ
- รักษาหลุมสิวด้วยตัวเอง ใช้เวลานานไหม มีวิธีที่ไวกว่านี้มั้ย
ทำ Juvgen ที่ไหนดี ทำไมต้อง Gentle Clinic
Gentle Clinic เราเป็นเจ้าแรกในไทยที่ใช้เทคนิคการรักษาหลุมสิว JuvGenesis จาก Dr.จิน (Jin Se-hun) ที่กล้าการันตีผลลัพธ์หลังการรักษา ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องมาทำซ้ำ และที่สำคัญตัวเครื่องมือถูกออกแบบมาสำหรับรักษาปัญหาหลุมสิวโดยเฉพาะ จึงรักษาปัญหาได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ปลอดภัยต่อทุกสีผิว (ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงเหมือนเลเซอร์) ระหว่างทำไม่จำเป็นต้องแปะยาชาเพราะไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาเหมือนวิธีอื่นๆ อีกด้วย
นอกจากเทคนิคการรักษาและเครื่องมือคุณภาพสูงแล้ว เรายังมีทีมแพทย์ของมากประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์และรักษาได้อย่างตรงจุด มีช่องทางการติดต่อให้ผู้ที่สนใจทั้ง 4 ช่องทาง เพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุดจากเรา
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม JuvGenesis
- เบอร์โทรศัพท์: 099-245-7555
- Line: https://page.line.me/gentleclinic
- Facebook: Gentle Clinic
- Instagram: gentleclinic_thailand