รอยสิว

รอยสิวมีกี่แบบ เกิดจากอะไร แบบไหนรักษายากสุด

Facebook
Twitter

นอกจากริ้วรอยเหี่ยวย่นที่มาจากช่วงอายุที่เพิ่มขึ้นแล้ว ริ้วรอยจากสิวก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่แม้จะไม่ได้เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ก็มีผลทำให้ผิวหน้ามีรอยดำหรือรอยแดงโดนเด่นจนอาจทำให้ใครหลายคนสูญเสียความมั่นใจเวลาพบปะผู้คนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว วันนี้เราจะมาพูดถึงสาเหตุ ประเภท และวิธีการรักษารอยสิวกันครับ

รอยสิวเกิดจากอะไร

เกิดจากกระบวนการฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากสิวอักเสบที่ลึกไปถึงชั้นผิวหนังและก่อให้เกิดรอยแดง รอยดำ หรือหลุมสิวตามมา นอกจากนี้ยังเกิดจากการรักษาสิวผิดวิธีด้วยการแกะสิวออกก็อาจทำให้เนื้อเยื่อบริเวณที่มีสิวบอบช้ำและเกิดเป็นรอยสิวได้เช่นกัน โดยสิวที่ทำให้เกิดรอยสิวมีตั้งแต่สิวอุดตัน สิวหัวช้าง

รอยสิวมีกี่แบบ

1. รอยแดง (Post Inflammatory Erythema)

เป็นรอยสีแดง สีชมพู หรือสีม่วงที่เกิดขึ้นทั้งระหว่างที่มีสิวอักเสบหรือหลังจากสิวอักเสบหายแล้ว เกิดจากการกระบวนการฟื้นฟูรอยแผลอักเสบจากผิวที่ทำให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังขยายตัวจนกลายเป็นรอยแดง

2. รอยดำ (Post Inflammatory Hyperpigmentation)

เป็นรอยสีดำที่เกิดจากการอักเสบระคายเคืองบริเวณผิวหนังที่มีสิวที่ไปกระตุ้นให้เมลาโนไซต์ (Melanocytes) ผลิตเมลานิน (Melanin) มากกว่าปกติจนทำให้บริเวณนั้นมีสีเข้มขึ้นจนเกิดเป็นรอยน้ำตาล เทาหรือดำ รอยดำเป็นรอยสิวที่รักษาหายได้แต่ยากกว่ารอยแดง

3. รอยหลุมสิว (Atrophic Scars)

เป็นรอยแผลเป็นที่บุ๋มลึกลงไปที่เกิดขึ้นหลังจากสิวอักเสบหายไป เกิดจากกระบวนการซ่อมแซมผิวหนังไม่สมบูรณ์หลังเกิดสิวอักเสบ ส่งผลให้ผิวยุบลงคล้ายหลุม ผิวไม่เรียบเนียน บางคนอาจมีหลุมสิวเพียงบางจุด แต่บางคนอาจมีหลุมสิวลุกลามกระจายอยู่ทั่วใบหน้า หลุมสิวแบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามระดับความรุนแรงจากน้อยสุดไปมากสุด ได้แก่ Rolling Scar, Boxcar Scars และ Ice Pick Scars

รอยสิวกี่วันหาย

ขึ้นอยู่กับประเภทของรอยสิวครับ หากเป็นรอยแดงอาจใช้เวลาประมาณ 2-4 เดือน หากเป็นรอยดำอาจใช้เวลาประมาณ 4-6 เดือน แต่หากเป็นหลุมสิวแล้วไม่สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาทางการแพทย์เท่านั้น

รอยสิวรักษายังไง

1. ยาทาสิว

เนื่องจากสิวบางประเภทนั้นสามารถรักษาให้หายได้ด้วยการทายารักษาสิว เช่น สิวไม่มีหัว, สิวหัวช้าง, สิวสเตียรอยด์ โดยยาที่ใช้จะเป็นยาในกลุ่มวิตามินซี (Vitamin C) ช่วยลดรอยแดง ลดการอักเสบของผิว, เรตินอยด์ (Retinoids) ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่า, เซราไมด์ (Ceramide) ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว, กรดโคจิก (Kojic Acid) ช่วยลดรอยดำ, สารสกัดอาร์บูติน (Arbutin) ช่วยลดจุดด่างดำจากการอักเสบของผิว, สารไทอามิดอล (Thiamidol) ยับยั้งเอ็นไซม์ไทโรซิเนสที่กระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานินที่ทำให้รอยสิวเข้มขึ้น

2. เลเซอร์รอยสิว

เป็นการรักษารอยสิวโดยใช้พลังงานเข้มข้นสูงจากแสงเลเซอร์ยิงเข้าไปยังชั้นผิวตามความยาวคลื่น โดยพลังงานความร้อนจะช่วยรักษารอยสิวให้จางลงและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูเซลล์ผิวให้กลับมาเรียบเนียน กระจ่างใส ในปัจจุบันมีเลเซอร์รอยสิวหลายประเภท เช่น เลเซอร์ Pico Laser, เลเซอร์ Dual Yellow, เลเซอร์ V-Beam เป็นต้น ทั้งนี้การทำเลเซอร์รอยสิวจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องเพิื่อคงผลลัพธ์การรักษาเอาไว้ จึงไม่เหมาะกับคนไข้ที่ไม่สะดวกเดินทางมารักษาเป็นประจำ

3. ฉีดเมโสหน้าใส

เป็นการรักษารอยสิวโดยฉีดสารบำรุงผิวที่มีส่วนประกอบของคอลลาเจน วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ เข้าไปยังผิวชั้นกลางโดยตรงเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ขับสารพิษภายในผิว และที่สำคัญยังช่วยลดการทำงานของต่อมไขมันซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบตามมา นอกจากนี้ยังช่วยปรับสมดุลผิว บำรุงผิวให้แข็งแรง ป้องกันการเกิดสิว เมโสหน้าใสเหมาะสำหรับคนไข้ที่มีปัญหาสิวอักเสบ สิวเรื้อรัง ผิวแห้งเสีย ผิวหน้ามัน ผิวแพ้ง่าย

4. ใช้สารเคมีผลัดเซลล์ผิว

เป็นการรักษารอยสิวโดยเร่งกระบวนการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วบริเวณผิวชั้นบนสุด (ชั้นหนังกำพร้า) ให้หลุดออกเพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ อีกทั้งป้องกันป้องกันการอุดตันในผู้ที่มีรูขุมขนกว้างได้ด้วย เพียงแต่วิธีนี้มีข้อจำกัดหลายอย่าง อย่างแรกวิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายเนื่องจากการผลัดเซลล์ผิวจะทำให้ผิวหนังบางและระคายเคืองได้ง่ายขึ้น

5. มาสก์หน้าลดรอยสิว

เป็นการใช้มาสก์แปะให้ทั่วใบหน้าเพื่อบำรุงให้ผิวชุ่มชื้น กระชับรูขุมขน ลดรอยสิวหรือจุดด่างดำโดยเฉพาะ ในปัจจุบันมีมาสก์สำหรับลดสิวมากมายให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นมาส์กเจล (Gel Mask), มาส์กขัดผิว (Exfoliating Mask), มาส์กครีม (Cream Mask), มาส์กบับเบิ้ล (Bubble Mask), มาส์กผง (Powder Mask), มาส์กชีท (Sheet Mask), มาส์กแบบอุ่น (Thermal Mark) และมาส์กแบบลอก (Peel Mask) โดยทั่วไปแล้วควรมาสก์หน้าสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ไม่ควรมากไปกว่านี้เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดรอยแดงและรอยดำเพิ่มขึ้น

ป้องกันรอยสิวด้วยวิธีต่อไปนี้

1. ห้ามแคะ แกะ เกา บริเวณที่มีสิว

เพราะการสัมผัสอย่างรุนแรงจะทำให้เนื้อเยื่อบริเวณที่เป็นสิวเกิดการบอบช้ำและอักเสบ ส่งผลให้เกิดรอยสิวมากขึ้น นอกจากนี้เล็บของเรายังเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกต่างๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หากใช้เล็บแกะสิวก็อาจทำให้เชื้อโรคจากเล็บเข้าไปในร่างกายผ่านสิวที่แกะออกอีกด้วย ทางที่ดีหากเกิดสิวบนใบหน้า แนะนำให้ใช้แผ่นแปะสิวและทายารักษาสิวจะดีที่สุดครับ

2. นอนหลับให้เพียงพอ

การนอนหลับเป็นสิ่งสำคัญที่ใครหลายคนละเลยทั้งจากการงานที่เร่งรีบ ทำงานไม่เป็นเวลา รวมถึงการเล่นเกมหรือดูซีรีส์ข้ามวันจนทำให้เวลานอนลดลง นอกจากจะทำให้ตื่นเช้ามาด้วยความรู้สึกไม่สดชื่นแล้วยังส่งผลให้เกิดสิวง่ายขึ้น แถมยังทำให้สิวที่เป็นอยู่แล้วยากยากขึ้นอีกด้วย เนื่องจากการนอนน้อยจะกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดหรือคอร์ติซอล (Cortisol) ส่งผลให้ผลิตไขมันมากขึ้นจนไปอุดตันตามรูขุมขนและเกิดสิวเห่อมากขึ้น ดังนั้นเราขอแนะนำให้นอนพักผ่อนประมาณ 7-8 ชั่วโมง/วัน จะดีที่สุดครับ

3. ดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน

เนื่องจากผิวหน้าของเรามีส่วนประกอบของน้ำร่วมอยู่ด้วย แต่น้ำในผิวนั้นจะถูกขับออกไปเมื่อทำกิจกรรมต่างๆ หรืออยู่ในพื้นที่กลางแจ้งที่มีอุณหภูมิสูง ร่างกายก็จะขับเหงื่อออกเพื่อรักษาสมดุลของอุณหภูมิในร่างกาย และหากคุณดื่มน้ำน้อยกว่าวันละ 8 แก้ว นอกจากจะเสี่ยงต่อภาวะโรคฮีทสโตรก (Heat Stroke) หรือโรคลมแดดแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเกิดสิวเพิ่มขึ้นเนื่องจากผิวหน้าขาดน้ำมากเกินไปและทำให้ร่างกายกระตุ้นการผลิตไขมันมาเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวนั่นเอง

4. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

เนื่องจากกิจกรรมต่างๆ อาจก่อให้เกิดสิวได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายด้วยแล้วก็ยิ่งมีสิวและปัญหาผิวหน้าอื่นๆ ตามมาได้ง่าย ดังนั้นคุณควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารลดความมัน, สารช่วยผลัดเซลล์ผิว, สารลดการอักเสบ, สารลดเชื้อแบคทีเรีย, สารช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียบนผิว, สารช่วยลดรอยสิวและสารเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว หลีกเลี่ยงส่วนประกอบของน้ำมัน, ซิลิโคน, สารกันเสียกลุ่มพาราเบน (Paraben) และสารทำความสะอาดหรือ SLS (Sodium Lauryl Sulfate)

5. สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันแดดทุกครั้งเมื่อออกข้างนอก

รู้หรือไม่ว่ารังสี UV จากแดดจะกระตุ้นให้เกิดรอยแดงหรือรอยดำเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นและเกิดอาการแสบร้อน ผิวหนังไหม้เกรียมได้อีกด้วย ซึ่งการสูญเสียน้ำในผิวหนังนี้เองที่จะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตไขมันมาเติมความชุ่มชื้นและกลายเป็นสิวอุดตันตามมา ดังนั้นหากจำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่กลางแจ้งเป็นเวลานานอย่าลืมสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันแดดเสมอและทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับออกแดดโดยเฉพาะ

แล้วถ้าเป็นหลุมสิว รักษายังไงได้บ้าง

หลายคนอาจคิดว่าหลุมสิวไม่สามารถรักษาให้หายได้ 100% เนื่องจากเทคนิคการรักษาปัญหาในสมัยก่อนไม่สามารถรักษาได้ถึงชั้นผิวลึก แต่ในปัจจุบันมีวิธีการรักษาหลุมสิวลึกได้อย่าง Juvgen ซึ่งเป็นเทคนิคที่เน้นการฟื้นฟูผิวหนังด้วยตัวเองผ่านการฉีด Co2 foam ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) และไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) อนุภาคเล็กเข้าไปยังหลุมสิวเพื่อฉีกเซลล์ทิ้งและกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื้อคอลลาเจนจำนวนมาก ส่งผลให้เนื้อผิวที่หายไปจากหลุมสิวถูกเติมเต็มและผิวกลับมาเรียบเนียนอีกครั้งภายในการรักษาเพียงครั้งเดียว แตกต่างจากการรักษาหลุมสิวด้วยวิธีอื่นที่ต้องทำซ้ำหลายๆ รอบเพื่อคงผลลัพธ์การรักษาเอาไว้

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: JUVGEN คืออะไร ทำไมถึงตอบโจทย์การดูแลผิวหน้าของคนยุคใหม่

บทความที่น่าสนใจ

ทำ Juvgen ที่ไหนดี ทำไมต้อง Gentle Clinic

Gentle Clinic เราเป็นเจ้าแรกในไทยที่ใช้เทคนิคการรักษาหลุมสิว JuvGenesis จาก Dr.จิน (Jin Se-hun) ที่กล้าการันตีผลลัพธ์หลังการรักษา ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องมาทำซ้ำ และที่สำคัญตัวเครื่องมือถูกออกแบบมาสำหรับรักษาปัญหาหลุมสิวโดยเฉพาะ จึงรักษาปัญหาได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ปลอดภัยต่อทุกสีผิว (ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงเหมือนเลเซอร์) ระหว่างทำไม่จำเป็นต้องแปะยาชาเพราะไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาเหมือนวิธีอื่นๆ อีกด้วย JuvGenesis ช่วยให้คุณกลับมามีผิวหน้าที่เรียบเนียนขึ้นอีกครั้ง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น Rolling scar, Box scar, Ice-pick Scars, หลุมเล็ก, หลุมใหญ่ หรือหลุมลึกก็ตาม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาหลุมสิวแบบเร่งด่วนและะรักษาถาวร นอกจากเทคนิคการรักษาและเครื่องมือคุณภาพสูงแล้ว เรายังมีทีมแพทย์ของมากประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์และรักษาได้อย่างตรงจุด มีช่องทางการติดต่อให้ผู้ที่สนใจทั้ง 4 ช่องทาง  เพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุดจากเรา

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม JuvGenesis

  • เบอร์โทรศัพท์: 099-245-7555
  • Line: https://bit.ly/Gentle4Men
  • Facebook: Gentle Clinic
  • Instagram: gentleclinic_thailand

แชร์บทความนี้

Facebook
Twitter

พร้อมยินดีให้คำปรึกษา

เจนเทิล คลีนิก เปิดให้บริการเวลา 12.00 – 20.00 น.

บทความที่น่าสนใจ