รอยดําจากสิว อันตรายไหม แตกต่างจากรอยแดงอย่างไร

Facebook
Twitter

นอกจากรอยแดงจากสิวแล้ว รอยดําจากสิวก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวที่ทำให้ใครหลายคนรู้สึกไม่มั่นใจเวลาออกไปข้างนอกหรือแม้กระทั่งมองดูใบหน้าตัวเอง แม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเวลาสัมผัส แต่หลายคนก็อยากเอาชนะรอยดำให้ได้ ว่าแต่รอยดำนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร หายเองได้ไหม มีวิธีไหนช่วยรักษาให้หายขาดได้บ้าง วันนี้เรามีคำตอบครับ

รอยดําจากสิวคืออะไร

รอยดํา หรือรอยแผลเป็นจากสิว เป็นรอยคล้ำที่เกิดขึ้นหลังจากรักษาสิวหายแล้ว โดยเกิดจากการอักเสบของผิวหนังในบริเวณที่เกิดสิว เมื่อเกิดการอักเสบจากสิวหรือการบีบสิวแล้วก็จะกระตุ้นให้เมลานิน (Melanin) ผลิตออกมาในปริมาณที่มากกว่าปกติ ทำให้ผิวมีสีเข้มขึ้นและกลายเป็นรอยดำ โดยทั่วไปแล้วรอยดำเหล่านี้อาจใช้เวลานานกว่าจะหายไป แต่หากดูแลรอยดำไม่ดีหรือไม่ป้องกันผิวหน้าเวลาออกแดด รอยดำก็ยิ่งชัดเจนขึ้น

รอยดําจากสิว ต่างจากรอยแดงจากสิวยังไง

รอยดำและรอยแดงจากสิวมีข้อแตกต่างกันในเรื่องของสาเหตุและลักษณะการเกิด  สำหรับรอยแดงจะเกิดจากการอักเสบที่ยังคงอยู่แม้ว่าสิวจะหายแล้วก็ตาม เนื่องจากหลอดเลือดในบริเวณนั้นเกิดการขยายตัวและเกิดการระบายเลือด ส่งผลให้ผิวแดงหรือบวม แต่หลังจากการอักเสบหายไปแล้วรอยแดงก็จะหายไปในระยะเวลาไม่นาน ในขณะที่รอยดำจะเกิดจากการผลิตเมลานินมากเกินไปหลังจากการอักเสบหรือบีบสิว ทำให้ผิวบริเวณนั้นมีสีเข้มขึ้น รอยดำจึงใช้เวลานานกว่าจะหายและกลับมาเข้มขึ้นได้หากผิวหน้าโดนแสงแดดเป็นประจำโดยไม่มีการป้องกันใดๆ

รอยดําจากสิว เจ็บไหม

รอยดำที่เกิดจากสิวเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของสีผิวหลังการอักเสบของสิว เป็นเพียงจุดหรือแผลที่มีสีเข้มกว่าผิวส่วนอื่น ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบหรือความเจ็บปวดใดๆ จึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายเลยครับ เพียงแต่ถ้ามีการอักเสบหรือมีสิวใหม่เกิดขึ้นจากจุดเดิมก็อาจสร้างความเจ็บปวดได้ในช่วงนั้น

รอยดําจากสิว หายเองได้ไหม

หายเองได้ครับ เพียงแต่อาจใช้ระยะเวลานานกว่าจะหายสนิท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของรอยดำและสีผิวของแต่ละคนด้วย

รอยดําจากสิว กี่วันหาย

โดยทั่วไปแล้วรอยดำจะค่อยๆ จางลงภายใน 3-6 เดือน แต่บางคนอาจใช้เวลานานกว่านั้น หากรอยดำอยู่ลึกหรือปล่อยให้ผิวหน้าสัมผัสกับแสงแดดมากเกินไปโดยไม่สวมอุปกรณ์ป้องกันหรือไม่ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน

รอยดําจากสิว แก้ยังไง

1. ทาครีมลดรอยดำ

ครีมลดรอยดำที่มีส่วนผสมของวิตามิน C, ไนอะซินาไมด์, กรดผลไม้ (AHA) หรือกรดซาลิไซลิก (BHA) จะมีคุณสมบัติลดรอยดำและฟื้นฟูผิว โดยวิตามิน C จะช่วยลดการผลิตเมลานินที่ทำให้เกิดรอยดำและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ส่วนไนอะซินาไมด์จะช่วยลดการอักเสบและการกระจายตัวของเมลานินในผิวหนัง ทำให้รอยดำจางลงเร็วขึ้น ขณะที่กรดผลไม้ (AHA) และกรดซาลิไซลิก (BHA) จะช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้เซลล์ผิวเก่าที่มีเมลานินมากเกินไปหลุดออก ทำให้รอยดำค่อยๆ จางลง ผิวดูกระจ่างใส แม้ว่าการใช้ครีมเหล่านี้จะช่วยลดรอยดำได้ก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็ตามคุณจะต้องทาครีมกันแดดทุกครั้งออกก่อนจากบ้าน เพื่อลดการกระตุ้นเมลานินจากแสงแดดที่อาจทำให้รอยดำยิ่งเข้มขึ้น

2. ทาครีมกันแดด

ครีมกันแดดเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่สำคัญที่นอกจากจะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวถูกทำร้ายจากรังสี UVA และ UVB แล้ว ยังมีส่วนสำคัญในการลดรอยดำได้อีกด้วย โดยสารที่อยู่ในครีมกันแดดจะแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ สารกันแดดแบบเคมี (Chemical Absorbers) เช่น อ็อกซิบิเซนโซน (Octinoxate), อาบูติน (Avobenzone), ออซิโทซิน (Octocrylene) และเอซิโล-4 (Ecamsule) ที่ช่วยดูดซับรังสี UV และแปลงเป็นความร้อนที่ไม่ทำร้ายผิว และสารกันแดดแบบ Physical (Physical Sunscreen) เช่น ซิงค์ออกไซด์ (Zinc Oxide) และ ไทเทเนียมไดออกไซด์ (Titanium Dioxide) ที่ช่วยสะท้อนหรือกระจายรังสี UV ออกจากผิว สำหรับครีมกันแดดที่ดีจะต้องมีค่า SPF 30 ขึ้นไป, มีค่า PA+++, มีคุณสมบัติ Broad-spectrum หรือป้องกันทั้งรังสี UVA และ UVB, เป็นครีมแบบ Water-Resistant ที่ทนทานต่อเหงื่อและน้ำ และที่สำคัญจะต้องมีคุณสมบัติ Non-comedogenic ที่ไม่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน

3. ทาครีมฟื้นฟูผิว

ครีมบำรุงสำหรับฟื้นฟูผิวจะต้องมีส่วนผสมเซราไมด์ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวและคงความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ช่วยลดการสูญเสียความชื้นและป้องกันการระคายเคือง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้รอยดำเข้มขึ้น ส่วนไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) จะช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิวโดยดึงน้ำมาหมุนเวียนในชั้นผิว ทำให้ผิวยืดหยุ่นและกระจ่างใส เมื่อผิวได้รับความชุ่มชื้นและฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ก็จะช่วยให้รอยดำจางลงเร็วขึ้น ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

รักษารอยดำจากสิว วิธีไหนดีที่สุด

โปรแกรม ScarSurgery หรือ ศัลยกรรมเสริมเนื้อใต้รอยแผลเป็นและหลุมสิวถาวรด้วยเทคโนโลยี Juvgen จาก Gentle Clinic ที่ถูกคิดค้นด้วย ดร.จิน หรือนายแพทย์ จินเซฮุน (Dr. Jin Se-hun) ศัลยแพทย์ชื่อดังจากเกาหลี ผ่านการฉีด Co2 foam ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) และกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) อนุภาคเล็กเข้าไปยังชั้นหนังแท้ใต้แผลเป็น หลุมสิว หรือริ้วรอยร่องลึก โดยแพทย์จะฉีดสารเข้าไปทีละนิด ๆ เพื่อฉีกเซลล์ทิ้งและกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากเพื่อปิดหลุมสิวในทันที แต่หลังจากการรักษาประมาณ 30-60 วัน ตัวสารที่ฉีดเข้าไปจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากบริเวณหลุมสิว ส่งผลให้มีการเติมเต็มเนื้อเยื่ออย่างถาวร คนไข้จึงไม่จำเป็นต้องกลับมารักษาซ้ำเป็นรอบที่สอง

นอกจากนี้ตัวเครื่องจูวีเจนถูกออกแบบสำหรับรักษาปัญหาผิวหน้าโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นรอยแดงหรือรอยแดงจากสิวก็ตาม คนไข้จึงไม่ต้องฉีดยาชาบรรเทาอาการเพราะไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองใดๆ ทั้งระหว่างและหลังการรักษาแล้ว และที่สำคัญยังไม่มีผลข้างเคียงหลังการรักษาอีกด้วยครับ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: บริการฉีดสร้างเนื้อหลุมสิวถาวร Juvgen จาก Gentle Clinic 

บทความที่น่าสนใจ

ทำ Juvgen ที่ไหนดี ทำไมต้อง Gentle Clinic

Gentle Clinic เราเป็นเจ้าแรกในไทยที่ใช้เทคนิคการรักษาหลุมสิว JuvGenesis จาก Dr.จิน (Jin Se-hun) ผ่านโปรแกรม ScarSurgery ที่กล้าการันตีผลลัพธ์หลังการรักษา ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องมาทำซ้ำ และที่สำคัญตัวเครื่องมือถูกออกแบบมาสำหรับรักษาปัญหาหลุมสิวโดยเฉพาะ จึงรักษาปัญหาได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ปลอดภัยต่อทุกสีผิว (ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงเหมือนเลเซอร์) ระหว่างทำไม่จำเป็นต้องแปะยาชาเพราะไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาเหมือนวิธีอื่นๆ อีกด้วย

นอกจากเทคนิคการรักษาและเครื่องมือคุณภาพสูงแล้ว เรายังมีทีมแพทย์ของมากประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์และรักษาได้อย่างตรงจุด มีช่องทางการติดต่อให้ผู้ที่สนใจทั้ง 4 ช่องทาง เพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุดจากเรา

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม JuvGenesis

แชร์บทความนี้

Facebook
Twitter

พร้อมยินดีให้คำปรึกษา

เจนเทิล คลีนิก เปิดให้บริการเวลา 12.00 – 20.00 น.

บทความที่น่าสนใจ