กามโรค

กามโรค ภัยร้ายที่ป้องกันได้ด้วยการดูแลน้องชายอย่างถูกวิธี

Facebook
Twitter

กามโรคถือเป็นปัญหาสุขภาพที่อันตรายต่อน้องชายเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะสร้างความเจ็บปวดต่อร่างกายแล้ว ยังมีผลกระทบต่อจิตใจที่อาจกระทบต่อคุณและคู่นอนของคุณได้ในระยะยาว แถมยังต้องเสียทั้งเงินทั้งเวลาในการรักษาอย่างยาวนาน ยิ่งถ้าใครติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มาจากเชื้อไวรัสด้วยแล้วก็ยิ่งเครียดหนักกว่าเดิม เพราะทุกวันนี้ยังไม่มีวิทยาการใดที่ช่วยรักษาให้หายขาดได้ 100% วันนี้เราจะมาพูดถึงภาวะดังกล่าวพร้อมวิธีดูแลและป้องกันตัวอย่างไรให้ห่างไกลจากภาวะนี้กันครับ

กามโรคคืออะไร

HIV

หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) เป็นภาวะติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์โดยการสอดใส่ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือออรัลเซ็กส์ ภาวะดังกล่าวสามารถติดต่อได้จากคนไปสู่คนผ่านการสัมผัสผิวหนังที่เกิดโรค, เลือด, อสุจิ, เมือกจากช่องคลอด รวมถึงของเหลวอื่น ๆ จากร่างกาย นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อผ่านทางอื่นได้ด้วย เช่น ติดต่อผ่านทางสายเลือด, การถ่ายเลือด, การใช้เข็ม, มูก, น้ำนม หรือของเหลวของผู้ป่วยติดเชื้อดังกล่าว โดยเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่พบส่วนใหญ่จะเป็นเอชไอวี (HIV), ไนซีเรีย โกโนเรียอี (Neisseria Gonorrhoeae), ทริโคโมแนต วาจินาลิส (Trichomonas Vaginalis), คลามัยเดีย ทราโคมาติส (Chlamydia Trachomatis), แบคทีเรียทรีโพนีมา แพลลิดัม (Treponema Pallidum), ฮิวแมน แพพพิลโลมา (Human Papilloma virus เป็นต้น โดยปกติแล้วคนไข้เริ่มแสดงอาการผิดปกติหลังจากได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายประมาณ 2-3 วัน แต่บางรายอาจใช้เวลาเป็นปีกว่าจะแสดงอาการ

สาเหตุของกามโรค

  • ติดเชื้อไวรัส แม้ว่าไวรัสบางชนิดจะรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็มีบางชนิดที่ยังไม่มียารักษาให้หายขาดและมีบางชนิดที่สามารถฝังตัวและกลับมาเป็นซ้ำได้อีกครั้ง สำหรับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อไวรัส ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ B, หูดหงอนไก่, เริม ฯลฯ
  • ติดเชื้อแบคทีเรีย หากติดเชื้อจากแบคทีเรียนั้นสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ สำหรับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ หนองใน, หนองในเทียม, ซิฟิลิส, ท่อปัสสาวะอักเสบ ฯลฯ

พฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เช่น ไม่สวมถุงยางอนามัยขณะสอดใส่, สวมถุงยางอนามัยเพียงบางครั้ง, ออรัลเซ็กส์, มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ซึ่งจะเพิ่มโอกาสติดเชื้อมากกว่าผู้ที่สวมถุงอนามัยมากถึง 5 เท่า
  • มีเพศสัมพันธ์แบบชายรักชาย หรือมีเพศสัมพันธ์กับหญิงขายบริการโดยไม่ป้องกันให้ดีพอ
  • มีเพศสัมพันธ์มากกว่า 1 คู่นอน, เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ
  • เคยมีประวัติป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อนในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
  • คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ใช้สารเสพติด (เข็ม) ร่วมกับผู้ที่เสี่ยงติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น HIV, ไวรัสตับอักเสบ B และ C ฯลฯ

โรคที่เกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

1. ซิฟิลิส (Syphilis)

เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum มีระยะฟักตัวประมาณ 10 – 90 วัน (เฉลี่ย 21 วัน) ในระยะแรกจะมีแผลเป็นขอบแข็งบริเวณอวัยวะเพศ มีผื่นขึ้นตามลำตัว ฝ่ามือ-เท้า ทวารหนัก และช่องปาก หากยังรักษาไม่หายขาดอาจเสี่ยงต่อภาวะรุนแรงที่อาจทำให้หูหนวก ตาบอด กระดูกอักเสบ เส้นเลือดใหญ่หัวใจโป่งพองและเสียชีวิต

2. หนองในแท้ (Gonorrhea)

เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae มีระยะฟักตัวประมาณ 2 – 7 วัน ส่งผลให้ปัสสาวะแสบขัด มีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ ถ้ารักษาไม่ทันอาจเสี่ยงต่อภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ ท่ออสุจิหรือท่อรังไข่ตีบตัน ต่อมลูกหมากอักเสบ

3. หนองในเทียม (Chlamydia)

เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis มีระยะฟักตัวประมาณ เฉลี่ย 7 วัน ส่งผลให้ปัสสาวะแสบขัด มีหนองใสไหลออกจากท่อปัสสาวะ ส่วนอาการระยะยาวจะเหมือนโรคหนองในแท้

4. เริม (Herpes simplex)

เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex virus มีระยะฟักตัวประมาณ 2 – 14 วัน ส่งผลให้มีตุ่มน้ำใส ๆ ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก มาพร้อมอาการปวดแสบปวดร้อน คันบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก

5. HPV หรือ ฮิวแมนแพปพิลโลมาไวรัส (Human papillomavirus infection)

เกิดจากเชื้อไวรัส Human papilloma virus มีระยะฟักตัวประมาณ 3 เดือน ไปจนถึงหลายปีก็มี ส่งผลให้เกิดหูดหงอนไก่เป็นก้อนเนื้อขรุขระบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก หากปล่อยไว้นานอาจก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งทวารหนักตามมาในระยะยาว

อาการของกามโรค

  • มีตุ่มนูนหรือก้อนบวมบริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก
  • รู้สึกเจ็บบริเวณที่เกิดโรคเมื่อสัมผัส
  • มีสารคัดหลั่งผิดปกติไหลออกจากอวัยวะเพศ
  • ต่อมน้ำเหลืองบวมโต รู้สึกแสบบริเวณขาหนีบ
  • ปวดอุ้งเชิงกรานจากการติดเชื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน
  • มีผื่นขึ้นตามมือ แขน ขา และเท้า
  • รู้สึกเจ็บบริเวณท้องน้อย
  • แสบขัดขณะปัสสาวะหรือสอดใส่
  • ปวดเมื่อยตามตัว
  • รู้สึกหนาวตัว มีไข้

ภาวะแทรกซ้อนจากกามโรค

1. ผลกระทบด้านร่างกาย

  • เกิดภาวะมีบุตรยากและการตั้งครรภ์นอกมดลูกจากโรคหนองใน
  • เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อระบบสืบพันธุ์ เช่น โรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID) จากหนองในเทียม ฯลฯ
  • เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด เช่น ติดเชื้อไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมา (HPV) ที่ก่อให้เกิดมะเร็งในช่องปาก, มะเร็งองคชาต, มะเร็งทวารหนัก
  • เจ็บปวดเรื้อรังจากภาวะต่าง ๆ เช่น ไม่สบายง่ายและเจ็บปวดเรื้อรังบริเวณอุ้งเชิงกรานจากโรคกระดูกเชิงกรานอักเสบ หรือ PID (Pelvic Inflammatory Disease), เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ฯลฯ
  • ระบบภูมิคุ้มกันด้อยประสิทธิภาพ ส่งผลให้ติดเชื้ออื่น ๆ ง่ายขึ้น เช่น โรคติดเชื้อ HIV ที่ไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน

2. ผลกระทบด้านจิตใจ

  • รู้สึกอับอาย รู้สึกผิด หรือเกิดความกลัวว่าโรคที่เป็นอยู่อาจทำให้ผู้คนใกล้ตัวติดไปด้วย ส่งผลให้ปลีกตัวออกจากสังคม
  • หากเกิดความเครียดสะสมเป็นเวลานาน อาจมีผลทำให้เกิดโรคซึมเศร้าตามมา
  • มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตคู่

กามโรครักษาให้หายขาดได้หรือไม่?

ในกรณีที่ป่วยจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น ซิฟิลิส หนองในแท้ หนองในเทียม สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะจนครบกำหนด แต่หากติดเชื้อไวรัสแล้วไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้และต้องดูแลสุขภาพร่างกายไม่ให้อาการกำเริบโดยจะได้รับยาต้านไวรัส แต่ทั้งนี้ก็อาจเสี่ยงที่คู่นอนของคุณจะติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ถือว่าจะมีโอกาสเพียงเล็กน้อยก็ตาม

กามโรค ป้องกันได้ด้วยการดูแลน้องชายอย่างถูกวิธี

1. มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย

ได้แก่ การใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์, การเลือกถุงยางอนามัยที่ตรงกับไซส์ของน้องชาย, การแกะถุงอนามัยโดยไม่ใช้ของมีคมตัดถุงหรือไม่ใช้เล็บในการแกะ, ห้ามใช้สารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันร่วมกับถุงยางอนามัย รวมถึงการมีคู่นอนเพียงคนเดียวซึ่งจะช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อาจมาจากคู่นอนคนอื่นแล้วมาติดคุณและคู่นอนของคุณได้

2. หลีกเลี่ยงสารเสพติดทุกชนิด

โดยเฉพาะเข็มฉีดยาที่สามารถส่งผ่านเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสซึ่งเป็นสาเหตุของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไปยังเส้นเลือดได้โดยตรง นอกจากนี้ยาเสพติดยังส่งผลร้ายหลายด้านทั้งร่างกายและจิตใจเมื่อใช้เป็นเวลานานอีกด้วยครับ

3. ทำความสะอาดน้องชายอย่างถูกวิธี

ถึงแม้ว่าคุณจะมีคู่นอนเพียงคนเดียวและสวมถุงยางอนามัยป้องกันเป็นอย่างดี แต่หากน้องชายคุณสกปรกจากการละเลยการทำความสะอาดทุกครั้งก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ ทำความสะอาดน้องชายรุนแรงเกินไปจนน้องชายระคายเคืองและอักเสบ หรือแม้แต่การไม่รูดหนังหุ้มปลายออกมาทำความสะอาดหัวองคชาต อาจเสี่ยงต่อภาวะหนังหุ้มปลายอักเสบซึ่งกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย ส่งผลให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ง่ายขึ้นด้วยนะครับ

ขลิบไร้เลือด ที่ไหนดี

และเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Gentle Clinic ยืนหนึ่งในด้านสุขภาพทางเพศคุณผู้ชายและการขลิบ สามารถขลิบได้ไม่ต้องกลัวเจ็บ เพราะเรามีโปรแกรม OXYLAB  (HBO Hyperbaric Oxygen Therapy) หรืออุโมงค์ออกซิเจนแรงดันสูง ช่วยเพิ่มระดับออกซิเจน และ Growth Factor ในเนื้อเยื่อให้สูงกว่าปกติถึง 10 เท่า จึงช่วยลดการอักเสบของแผล ไร้ปวดได้ในทันที และไร้อาการบวมอักเสบในวันต่อมา อีกทั้งช่วยเร่งสมานแผล ให้แผลแห้งไวภายใน 3 วัน ลดการติดเชื้อได้มากกว่า 90%  จึงไม่ต้องพักฟื้นอย่างแท้จริง ไม่ต้องทำแผลเองที่บ้าน

โปรแกรม OXYLAB  (HBO Hyperbaric Oxygen Therapy) หรืออุโมงค์ออกซิเจนแรงดันสูง เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ใช้ในโรงพยาบาลต่างประเทศ เพื่อช่วยเร่งสมานแผลเรื้อรัง แผลเบาหวาน หรือแม้แต่แผลในการผ่าตัดศัลยกรรมความงามที่เรานำมาใช้ ที่ GentleClinic เราดูแลให้ครบทั้งก่อนและหลังขลิบ ไม่เจ็บตอนทำ ไม่ปวดหลังทำ แล้วก็ไม่ต้องพักฟื้นครับ

สำหรับใครที่กำลังมองหา คลินิกขลิบปลายผู้ใหญ่ มากประสบการณ์ การันตีด้วยจำนวนเคสสำเร็จและรีวิวความประทับใจจากลูกค้าจำนวนมาก เรา Gentle Clinic คือคำตอบ เพราะเราเป็นคลินิกเจ้าแรก ๆ ในประเทศไทยที่นำเอาเครื่องขลิบแบบอัตโนมัติแบบสวมครอบ (Round Stapler) ที่มีความแม่นยำสูงมาใช้ในการรักษา ทำให้ใช้เวลาขลิบและเย็บแผลเพียง 15 นาทีเท่านั้น ซึ่งจะช่วยลดอาการบาดเจ็บหลังการรักษาได้มากกว่าการขลิบแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ทีมแพทย์ของเรามีประสบการณ์สูง สามารถวิเคราะห์และรักษาได้อย่างตรงจุด สามารถรับแก้เคสขลิบแผลไม่สวยงามจากการขลิบที่อื่น คลินิกของเราพร้อมให้บริการทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดรวม 15 สาขา มีช่องทางการติดต่อให้ผู้ที่สนใจทั้ง 4 ช่องทาง ทั้งนี้ก็เพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุดจากเรา

  • เบอร์โทรศัพท์: 099-245-7555
  • Line: https://bit.ly/Gentle4Men
  • Facebook: Gentle Clinic
  • Instagram: gentleclinic_thailand

บทความที่น่าสนใจ

รีวิวจากผู้ใช้บริการ

แชร์บทความนี้

Facebook
Twitter

พร้อมยินดีให้คำปรึกษา

เจนเทิล คลีนิก เปิดให้บริการเวลา 12.00 – 20.00 น.

บทความที่น่าสนใจ