แม้ว่าสิวอักเสบจะสร้างความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยบนผิวหน้า แต่ก็ถือเป็นปัญหาระดับชาติสำหรับใครหลายๆ คน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานพบปะผู้คนตลอดเวลาอย่างอาชีพพิธีกร นักร้อง นักแสดง และอินฟลูเอนเซอร์ ที่จะต้องมีใบหน้าที่เรียบเนียนและเกลี้ยงเกลาอยู่เสมอ หากปล่อยไว้นานหรือรักษาไม่ถูกวิธี สิวอักเสบที่ว่าก็จะกลายมาเป็นหลุมสิว ส่งผลให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียนเหมือนแต่เก่า กลายเป็นจุดด่างพร้อยบนใบหน้าที่ไม่มีใครอยากมีอยู่บนใบหน้าอย่างแน่นอน วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีรักษาสิวอักเสบที่ทั้งทำได้ง่ายๆ และถูกวิธีจำนวน 5 วิธี ว่าแต่มีวิธีไหนน่าสนใจ สามารถทำได้เองบ้าง มาอ่านไปพร้อมกันเลยครับ
รักษาสิวอักเสบอย่างถูกวิธี ด้วย 5 วิธีต่อไปนี้
1. รักษาด้วยยารักษาสิว
1.1 ยาทาสิวอักเสบ
ยาทารักษาสิวจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ ยาทาผลัดเซลล์ผิวที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoid), เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรืออะดาพาลีน (Adapalene) มีทั้งแบบเจลและแบบเนื้อครีม แม้จะช่วยรักษาสิวอักเสบได้ก็ตาม แต่เป็นยาทาที่หาซื้อได้เอง หากใช้ในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายต่อผิวหน้าได้เนื่องจากยาทาประเภทนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือไวต่อสารเคมี อีกทั้งอาจมีผลข้างเคียงต่อผิวหน้าได้ เช่น ผิวแห้งแพ้ง่าย ผิวลอก ใบหน้าและริมฝีปากบวม เจ็บแน่นหน้าอก เป็นต้น
ส่วนยาทาอีกประเภทจะเป็นยาปฏิชีวนะที่มีส่วนผสมของคลินดามัยซิน (Clindamycin) และอิริโทรมัยซิน (Erythromycin) มีทั้งแบบของเนื้อเจลและโลชั่น มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อของผิวหนัง ใช้รักษาสิวอักเสบ อีกทั้งป้องกันการติดเชื้อจากแบคทีเรียด้วย เพียงแต่มีข้อควรระวังในการใช้อยู่พอสมควร เนื่องจากยาประเภทนี้ไม่เหมาะสำหรับสตรีตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงระหว่างให้นมบุตร, ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง, โรคตับ หรือมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
1.2 ยาทานรักษาสิวอักเสบ
ยาทานรักษาสิวส่วนใหญ่จะเป็นยาปฏิชีวนะที่มีส่วนผสมของเตตระไซคลิน (Tetracycline) และด็อกซีไซคลิน (Doxycycline) มีทั้งแบบยาเม็ดและยาน้ำ ยาประเภทนี้มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว ซึ่งจะช่วยยับยั้งการเกิดสิวอักเสบให้ลดลง เพียงแต่ยาประเภทนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคตับ โรคหอบหืด รวมถึงสตรีมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงระหว่างให้นมบุตร นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียงหลังการรับประทานอีกด้วย เช่น ผิวแพ้ง่ายขึ้น ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ความอยากอาหารลดลง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมียาฮอร์โมนรวม หรือยาคุมกำเนิดที่ช่วยลดสิวที่เกิดจากฮอร์โมนเพศเปลี่ยนแปลงอีกด้วย
2. ใช้ความเย็นรักษาสิวอักเสบ
หลายคนอาจไม่รู้มาก่อนว่าความเย็นสามารถรักษาสิวอักเสบได้ด้วย เนื่องจากความเย็นจะช่วยลดอาการปวดบวมของสิวอักเสบ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด อีกทั้งกระชับรูขุมชนไปในตัวด้วย สำหรับวิธีการรักษานั้นมีทั้งแบบทำได้ด้วยตัวเองและใช้ความเย็นบำบัด ในส่วนของการใช้ความเย็นรักษาสิวเองนั้นให้แช่น้ำสะอาดทิ้งไว้ในช่องฟรีซจนแข็งตัวเป็นก้อน จากนั้นนำทิชชู่มาห่อน้ำแข็งไว้ (เพื่อป้องกันน้ำแข็งสกปรกจากนิ้วมือของเรา) และประคบลงบนสิวเป็นเวลา 10 นาที แล้วจึงพักผิวประมาณ 1 นาทีก่อนจะประคบต่ออีกรอบ แต่ในกรณีที่รักษาด้วยความเย็นบำบัดโดยผู้เชี่ยวชาญ (Cryotherapy) จะใช้ความเย็นจากไนโตรเจนเหลวด้วยเครื่องมือแบบพกพาที่ต้องทำโดยทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น แต่วิธีนี้อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะไม่ทนต่อความเย็นในจุดเยือกแข็งได้อย่างผู้ป่วยโรคหลอดเลือดอุดตัน, ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง, ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับระบบการทำงานของหัวใจ, ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้อากาศหนาว, ผู้ป่วยภาวะโลหิตจาง และผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ
3. ประคบน้ำอุ่น
นอกจากความเย็นแล้วความร้อนก็ช่วยจัดการปัญหาสิวอักเสบได้เช่นกันครับ เพราะน้ำอุ่นจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดอาการเจ็บปวดจากสิวอักเสบ เพียงแต่จะต้องเป็นน้ำร้อนไม่เกิน 45 องศาเซลเซียสเพราะจะทำให้ผิวหนังลวกผองขึ้นมาได้ สำหรับวิธีการประคบนั้นให้ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นแล้วบิดหมาดๆ แล้วนำมาประคบบริเวณที่มีสิวประมาณ 10 นาที โดยประคบเป็นประจำทุกวันวันละ 3 เวลา เช้า, กลางวัน และก่อนนอน
4. ฉีดยารักษาสิวอักเสบ
หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าฉีดสิว เป็นการฉีดสารกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ลงไปในสิวเพื่อยับยั้งและบรรเทาอาการปวดบวมของสิว ใช้ได้กับสิวทุกประเภทไม่ว่าจะมีหัวสิวหรือไม่ก็ตาม โดยคนไข้จะเริ่มเห็นผลหลังการรักษาประมาณ 2-3 วัน แม้จะเป็นวิธีที่เห็นผลไวแต่ก็แลกมากับอาการเจ็บจากการใช้เข็มฉีดลงไปบนสิวที่ยังอักเสบอยู่ นอกจากนี้ยังทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดเกิดรอยด่างขาว ผิวไม่เรียบเนียน หรือหากร่างกายของคุณตอบสนองกับสารสเตียรอยด์ก็อาจเกิดสิวสเตียรอยด์ขึ้นมาใหม่ และที่สำคัญวิธีนี้ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ หากคุณดูแลตัวเองไม่ดีพอก็อาจทำให้เกิดสิวเห่อขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ ทั้งนี้การฉีดสิวอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเข็ม, แพ้สารสเตียรอยด์ หรือผู้ป่วยโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคเบาหวาน โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนเลือด เป็นต้น
5. ล้างหน้าให้ถูกวิธี
แม้ว่าคุณจะใช้ยาทาราคาแพง คุณภาพสูง แต่หากคุณยังคงละเลยการทำความสะอาดผิวหน้าหรือทำความสะอาดผิดวิธี ก็อาจทำให้สิวอักเสบเกิดขึ้นได้ซ้ำๆ ดังนั้นการล้างหน้าอย่างถูกวิธีจึงเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับการล้างหน้าที่ถูกต้องจะต้องล้างไม่น้อยหรือมากจนเกินไป โดยทั่วไปแล้วควรล้างวันละ 2 ครั้ง คือ หลังตื่นนอนและก่อนเข้านอน เริ่มจากการล้างมือให้สะอาดก่อนแล้วตามด้วยการใช้คลีนซิ่งล้างเครื่องสำอางออกให้หมด จากนั้นค่อยล้างน้ำด้วยน้ำสะอาดและตามด้วยโฟมล้างหน้า เริ่มจากการตีโฟมล้างหน้าให้เป็นฟองแล้วถูให้ทั่วใบหน้าอย่างเบามือประมาณ 1-2 นาทีก็พอครับ เพราะถ้าถูหน้านานกว่านี้อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ จากนั้นค่อยล้างน้ำสะอาดตามอีกที และที่สำคัญควรล้างด้วยน้ำอุณหภูมิห้องเพื่อป้องกันผิวหน้าแห้ง เป็นสิวง่าย จากการล้างด้วยน้ำที่ร้อนหรือเย็นจัดครับ
ถ้ามีหลุมสิวเกิดขึ้นแล้ว จะทำยังไงดี
กรณีที่เป็นหลุมสิวไม่ลึกมากอย่างหลุมสิว Rolling และ Boxscar นั้นสามารถรักษาได้เองโดยวิธีธรรมชาติอย่างการใช้มาสก์พอกหน้าหรือนำผลไม้/สมุนไพรมาพอกหน้า แม้จะใช้ระยะเวลาที่มากหน่อยประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี แต่ก็ยังพอรักษาให้หลุมสิวตื้นขึ้นมาได้ แต่หากคุณรักษามานานแต่ยังไม่ให้สักทีก็อาจเป็นหลุมสิวลึก Icepick จะไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยตัวเองเนื่องจากบริเวณที่เกิดสิวอักเสบสูญเสียเนื้อเยื่อและคอลลาเจนไปจนเกิดความผิดปกติในการสมานแผลและกลายเป็นหลุมสิว จำเป็นจะต้องแก้หลุมสิวด้วยวิธีทางการแพทย์เท่านั้น โดยมีทางเลือกตั้งแต่การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวที่เห็นผลได้ไม่นานก็กลับมาเป็นหลุมสิวอีก, การลอกผิวด้วยสารเคมีที่เร่งการผลัดเซลล์ผิว แต่หากใช้ไม่ถูกวิธีก็เสี่ยงอันตรายต่อผิวหน้าได้ง่าย หรือแม้แต่การเลเซอร์หลุมสิวที่ไม่สามารถรักษาได้ลึกถึงชั้นผิวลึก จำเป็นต้องรักษาร่วมกับวิธีอื่นด้วย
แตกต่างจากการรักษาหลุมสิวด้วย JUVGEN ที่เน้นการฟื้นฟูผิวหนังด้วยตัวเองเป็นหลัก ผลลัพธ์ที่ได้หลังการรักษาจึงคงทนถาวรกว่าวิธีอื่น เนื่องจากการฉีด Co2 foam ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) และกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) อนุภาคเล็กเข้าไปยังชั้นหนังแท้ใต้หลุมสิวเข้าไปทีละนิดๆ เพื่อฉีกเซลล์เดิมและกระตุ้นการสร้างเส้นใยขึ้นมาใหม่เพื่อดันหลุมสิวให้ตื้นและกลับมาเรียบเนียนเหมือนส่วนอื่นของผิวหน้าภายในการรักษาเพียงครั้งเดียว
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: JUVGEN คืออะไร ทำไมถึงตอบโจทย์การดูแลผิวหน้าของคนยุคใหม่
บทความที่น่าสนใจ
- สิวฮอร์โมนเกิดจากอะไร หายเองได้ไหม ดูแลยังไงไม่ให้สิวอักเสบ
- รอยแผลเป็นจากสิวคืออะไร มีกี่แบบ แก้ยังไงไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ
- รักษาหลุมสิวด้วยตัวเอง ใช้เวลานานไหม มีวิธีที่ไวกว่านี้มั้ย
ทำ Juvgen ที่ไหนดี ทำไมต้อง Gentle Clinic
Gentle Clinic เราเป็นเจ้าแรกในไทยที่ใช้เทคนิคการรักษาหลุมสิว JuvGenesis จาก Dr.จิน (Jin Se-hun) ที่กล้าการันตีผลลัพธ์หลังการรักษา ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องมาทำซ้ำ และที่สำคัญตัวเครื่องมือถูกออกแบบมาสำหรับรักษาปัญหาหลุมสิวโดยเฉพาะ จึงรักษาปัญหาได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ปลอดภัยต่อทุกสีผิว (ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงเหมือนเลเซอร์) ระหว่างทำไม่จำเป็นต้องแปะยาชาเพราะไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาเหมือนวิธีอื่นๆ อีกด้วย
JuvGenesis ช่วยให้คุณกลับมามีผิวหน้าที่เรียบเนียนขึ้นอีกครั้ง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น Rolling scar, Box scar, Ice-pick Scars, หลุมเล็ก, หลุมใหญ่ หรือหลุมลึกก็ตาม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาหลุมสิวแบบเร่งด่วนและะรักษาถาวร นอกจากเทคนิคการรักษาและเครื่องมือคุณภาพสูงแล้ว เรายังมีทีมแพทย์ของมากประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์และรักษาได้อย่างตรงจุด มีช่องทางการติดต่อให้ผู้ที่สนใจทั้ง 4 ช่องทาง เพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุดจากเรา
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม JuvGenesis
- เบอร์โทรศัพท์: 099-245-7555
- Line: https://page.line.me/gentleclinic
- Facebook: Gentle Clinic
- Instagram: gentleclinic_thailand