ลอกผิวคืออะไร อันตรายไหม ทำไมถึงห้ามรักษาหลุมสิวด้วยวิธีนี้

Facebook
Twitter

บ่อยครั้งที่ใครหลายคนอาจรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองเวลาพบปะผู้คนในขณะที่ยังมีหลุมสิวอยู่เต็มใบหน้า กรณีที่เป็นหลุมสิวตื้นๆ ก็อาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่นักเพราะหลุมสิวแบบนี้สามารถรักษาหายให้หายได้ด้วยวิธีทางธรรมชาติ แต่หากเป็นหลุมสิวลึกที่รักษายากก็อาจต้องพึ่งพาวิธีการรักษาทางการแพทย์เท่านั้น หนึ่งในวิธีที่มีคนพูดถึงมากที่สุดก็คือการลอกผิวหน้าด้วยสารเคมี ว่าแต่วิธีนี้ช่วยได้จริงไหม ทำไมเราถึงไม่แนะนำให้ทำกัน แล้วมีวิธีไหนที่เห็นผลลัพธ์โดยไม่เสี่ยงอันตรายบ้าง วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังครับ

การลอกผิวคืออะไร

เป็นวิธีการรักษาปัญหาหลุมสิวโดยการทาสารเคมีเข้าไปยังบริเวณที่เกิดหลุมสิวเพื่อทำลายเซลล์ผิวหนังชั้นบนสุดให้หลุดออกมาเป็นแผ่นขี้ไคลบนใบหน้าและกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ไปในตัว สำหรับสารเคมีที่ใช้ในการลอกผิวจะเป็นสารฟอกขาว หรือสารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ (Sodium Hydrosulfite), กรดเบต้าไฮดรอกซี หรือ BHA (Beta Hydroxy Acid), กรดไตรคลอโรอะซิติก หรือ TCA (Trichloroacetic), กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) ซึ่งอยู่ในปริมาณที่สูงเกินกว่าค่ามาตรฐานทางการแพทย์ที่แม้ว่าจะช่วยให้ผิวหน้าดูสว่างใส ลดปัญหาหลุมสิวให้ตื้นขึ้นได้ก็ตาม แต่ก็แลกมากับผลข้างเคียงที่รุนแรงต่อใบหน้า จนกลายเป็นปัญหาผิวหน้าเรื้อรังได้ในระยะยาว หากไม่ได้รักษาภายใต้การควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การลอกผิวมีกี่แบบ อะไรบ้าง

การลอกผิวแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ Very Superficial Peeling, Superficial Peeling, Medium Peeling และ Deep Peeling โดยแต่ละแบบจะรักษาในระดับชั้นผิวที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1. Very Superficial Peeling

เป็นการผลัดเซลล์ผิวในระดับที่รุนแรงน้อยที่สุดด้วยการทาสารกรดผลไม้ (AHA) ประมาณ 30-50% หรือกรดไตรคลอโรอะซิติกประมาณ 10% ทาลงบริเวณที่ต้องการรักษาเป็นเวลา 1-2 นาที เพื่อลอกเฉพาะเซลล์ผิวชั้นนอกของชั้นหนังกำพร้าเพียงอย่างเดียว

2. Superficial Peeling

เป็นการผลัดเซลล์ผิวในระดับลึกลงกว่าวิธีแรกด้วยการทากรดไกลโคลิกประมาณ 70% หรือกรดไตรคลอโรอะซิติกประมาณ 30-50% ทาลงบริเวณที่ต้องการรักษาเป็นเวลา 2-20 นาที เพื่อลอกเซลล์ในชั้นหนังกำพร้าบางส่วนหรือลอกเซลล์ทั้งหมดออกหลังจากการทาประมาณ 2-3 วัน โดยจะต้องทำต่อเนื่องมากถึง 6 ครั้งเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน และแต่ละครั้งจะต้องห่างกันประมาณ 2-3 สัปดาห์

3. Medium Peeling

เป็นการผลัดเซลล์ผิวในระดับลึกถึงเซลล์ในชั้นหนังขี้ไคล ชั้นหนังกำพร้า และส่วนบนของชั้นหนังแท้ ด้วยการทากรดไกลโคลิกประมาณ 70% หรือกรดไตรคลอโรอะซิติกประมาณ 30-50% ทาลงบริเวณที่ต้องการรักษาเป็นเวลา 3-30 นาที เพื่อลอกเซลล์ในชั้นหนังกำพร้าบางส่วนหรือลอกเซลล์ทั้งหมดออกหลังจากการทาประมาณ 1-2  สัปดาห์

4. Deep Peeling

เป็นการผลัดเซลล์ผิวในระดับลึกถึงชั้นหนังกำพร้าไปจนถึงรอยหยักด้วยการทากรดไกลโคลิกเต็ม 100% หรือกรดไตรคลอโรอะซิติกประมาณ 70% เป็นเวลา 1-3 นาที สำหรับวิธีนี้ไม่แนะนำให้ทำเองเด็ดขาดเพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ จำเป็นต้องเข้ารับการรักษากับแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น

ข้อดีของการลอกผิวด้วยสารเคมี

เนื่องจากการใช้สารเคมีลอกผิวจะช่วยผลัดเอาเซลล์ผิวออกจึงช่วยลดการเกิดสิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งช่วยลดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว ปรับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ รอยดำ ช่วยให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น ลดริ้วรอยก่อนวัย และที่สำคัญยังช่วยแก้ปัญหาหลุมสิวให้ตื้นขึ้น หลุมสิวดูค่อยๆ เสมอกับผิวบริเวณอื่นอีกด้วย

การลอกผิวด้วยสารเคมี เห็นผลจริงไหม

ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นระดับความลึกของชั้นผิวที่ต้องการจะลอก, ประเภท+ระดับความเข้มข้น+ค่า pH ของสารเคมีที่ใช้, ระยะเวลาที่ปล่อยให้สารซึมซาบเข้าสู่ชั้นผิว, ความสม่ำเสมอในการรักษา, สีผิวของผู้เข้ารับการรักษา, การดูแลความสะอาดผิวหน้าของผู้เข้ารับการรักษา และที่สำคัญที่สุดคือความเชี่ยวชาญในการรักษาของผู้ที่ทำการรักษา (โดยทั่วไปแล้วควรเข้ารับการรักษากับแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น)

ทำไมเราถึงไม่แนะนำให้ลอกผิวด้วยสารเคมี

ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าการลอกผิวเป็นการใช้สารเคมีเร่งการผลัดเซลล์ผิวจึงทำให้เนื้อเยื่อที่สร้างขึ้นมาใหม่นั้นอ่อนแอกว่าเนื้อเยื่อที่สร้างขึ้นเองตามกระบวนการตามธรรมชาติ จึงเสี่ยงต่อปัญหาผิวแพ้ง่ายแม้ว่าในกรณีที่ลอกผิวในชั้นตื้นก็ตาม เพราะการลอกผิวในระดับตื้นก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้เช่นกัน นั่นคือปัญหาสีผิวที่เปลี่ยนไปเป็นสีขาวหรือสีดำ แต่หากคุณจำเป็นต้องทำลึกไปถึงชั้นผิวหนังแท้ก็ยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้น เพราะการลอกผิวอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชั้นผิวจนเกิดเป็นผื่นแดง แผลเป็น ผิวหนังอักเสบ หรือแผลติดเชื้อได้อีกด้วย ดังนั้นหากต้องการรักษาหลุมสิวให้หายจริงๆ แนะนำให้รักษาด้วยวิธีที่เกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุดหรือหากเป็นไปได้ ควรเลือกวิธีที่เห็นผลชัวร์ ไม่มีผลข้างเคียง และไม่ต้องกลับมารักษาซ้ำจะดีที่สุดครับ

รักษาหลุมสิวด้วยวิธีไหนดีสุด

JUVGEN เป็นเทคนิคการรักษาปัญหาหลุมสิวโดยเน้นไปที่การฟื้นฟูผิวหนังด้วยตัวเอง ถูกคิดค้นโดย ดร.จิน หรือนายแพทย์ จินเซฮุน (Dr. Jin Se-hun) ศัลยแพทย์ชื่อดังจากเกาหลี โดยฉีด Co2 foam ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) และกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) อนุภาคเล็กเข้าไปยังชั้นหนังแท้ใต้แผลเป็นเพื่อฉีกเซลล์ทิ้งและกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากเพื่อเติมหลุมสิวให้เต็มอย่างถาวร ช่วยให้ผิวกลับมาเรียบเนียนทันทีเพียงแค่เข้ารับการฉีดเพียงครั้งเดียว ไม่จำเป็นต้องกลับมาฉีดซ้ำเหมือนกับวิธีอื่น ทำเสร็จแล้วกลับบ้านได้เลย และที่สำคัญยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงเหมือนกับการลอกผิวด้วยสารเคมีอีกด้วย

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: JUVGEN คืออะไร ทำไมถึงตอบโจทย์การดูแลผิวหน้าของคนยุคใหม่

บทความที่น่าสนใจ

ทำ Juvgen ที่ไหนดี ทำไมต้อง Gentle Clinic

Gentle Clinic เราเป็นเจ้าแรกในไทยที่ใช้เทคนิคการรักษาหลุมสิว JuvGenesis จาก Dr.จิน (Jin Se-hun) ที่กล้าการันตีผลลัพธ์หลังการรักษา ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องมาทำซ้ำ และที่สำคัญตัวเครื่องมือถูกออกแบบมาสำหรับรักษาปัญหาหลุมสิวโดยเฉพาะ จึงรักษาปัญหาได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ปลอดภัยต่อทุกสีผิว (ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงเหมือนเลเซอร์) ระหว่างทำไม่จำเป็นต้องแปะยาชาเพราะไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาเหมือนวิธีอื่นๆ อีกด้วย

JuvGenesis ช่วยให้คุณกลับมามีผิวหน้าที่เรียบเนียนขึ้นอีกครั้ง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น Rolling scar, Box scar, Ice-pick Scars, หลุมเล็ก, หลุมใหญ่ หรือหลุมลึกก็ตาม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาหลุมสิวแบบเร่งด่วนและะรักษาถาวร นอกจากเทคนิคการรักษาและเครื่องมือคุณภาพสูงแล้ว เรายังมีทีมแพทย์ของมากประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์และรักษาได้อย่างตรงจุด มีช่องทางการติดต่อให้ผู้ที่สนใจทั้ง 4 ช่องทาง  เพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุดจากเรา

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม JuvGenesis

แชร์บทความนี้

Facebook
Twitter

พร้อมยินดีให้คำปรึกษา

เจนเทิล คลีนิก เปิดให้บริการเวลา 12.00 – 20.00 น.

บทความที่น่าสนใจ