อยากบำรุงผิว แต่ไม่อยากเป็นสิวแพ้ครีม ดูแลตัวเองยังไงดี

Facebook
Twitter

ไม่ว่าใครก็อยากดูแลผิวหน้าให้กระจ่างใส ดูสุขภาพดี อ่อนกว่าวัยกันทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ว่าเราจะเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวแบบไหนก็ได้ เพราะถ้าคุณไม่พิถีพิถันในการเลือกผลิตภัณฑ์ให้ดี หรือเลือกเพียงเพราะว่าใครๆ ก็ใช้กัน ก็อาจเสี่ยงต่อสิวแพ้ครีมได้ง่ายๆ เลยนะครับ และในบทความนี้เราจะพูดถึงสิวประเภทนี้กันอย่างเจาะลึก พร้อมวิธีเลือกครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณกันครับ

สิวแพ้ครีม เกิดจากอะไร

เป็นสิวที่เกิดจากการระคายเคืองหรืออาการแพ้ส่วนผสมในครีมที่ใช้ ซึ่งเป็นส่วนผสมที่มีความเข้มข้นสูง เช่น น้ำหอม แอลกอฮอล์ ที่ทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองง่ายขึ้น หรือสารที่มีคุณสมบัติทำให้รูขุมขนอุดตัน (Comedogenic) และเกิดเป็นสิวอุดตัน เช่น น้ำมัน ซิลิโคน นอกจากนี้ยังรวมไปถึงส่วนผสมบางชนิดที่เป็นสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกาย เช่น พาราเบน (Parabens) หรือสารกันเสีย ที่ร่างกายพยายามขับออกมาในรูปแบบของสิวด้วยเช่นกัน

สิวแพ้ครีม เกิดจากสารตัวไหนบ้าง

  • น้ำหอม (Fragrance) ประกอบด้วยสารเคมีหลายชนิดที่มีความเข้มข้นสูงที่มีฤทธิ์ทำลายเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) และก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว ยิ่งถ้ามีปัญหาผิวแห้งง่ายอยู่แล้ว อาการก็ยิ่งรุนแรง และด้วยความที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นไป ทำให้ผิวผลิตน้ำมันมากขึ้นเพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ส่งผลให้น้ำมันที่ผลิตออกมามากเกินไปอุดตันอยู่ในรูขุมขนและเกิดสิว
  • แอลกอฮอล์ (Alcohol) เช่น Isopropyl Alcohol หรือ Ethyl Alcohol มีคุณสมบัติเป็นตัวทำละลายที่ดึงความชุ่มชื้นออกไปจากผิว ทำให้ชั้นไขมันบางๆ บนผิว (Lipid barrier) ถูกทำลาย ผิวจึงสูญเสียความชุ่มชื้นและอ่อนแอลง เมื่อผิวแห้งเกินไป ร่างกายจะผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นเพื่อชดเชยความชุ่มชื้นที่สูญเสียไป กลายเป็นปัญหาผิวมันและเกิดสิว
  • ซิลิโคน (Silicones) เช่น Dimethicone และ Cyclopentasiloxane มีคุณสมบัติเป็นฟิลม์บางๆ ที่ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน แต่เนื่องจากซิลิโคนไม่สามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ จึงกลายเป็นแหล่งสะสมสิ่งสกปรก, น้ำมัน และสารตกค้างต่างๆ ได้ง่าย และเป็นสาเหตุของการเกิดสิวอุดตัน
  • พาราเบน (Parabens) เป็นสารกันเสียที่ใช้ในเครื่องสำอางและครีมต่างๆ เพื่อยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ พาราเบนอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่ายในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย อีกทั้งขัดขวางการทำงานของระบบป้องกันผิว ทำให้ผิวเพิ่มน้ำมันมากขึ้นหรือทำให้ผิวแห้งง่ายขึ้น
  • ซัลเฟต (Sulfates) เช่น Sodium Lauryl Sulfate หรือ Sodium Laureth Sulfate มีคุณสมบัติในการสร้างฟองและช่วยขจัดสิ่งสกปรก แต่ก็มีฤทธิ์ทำลายเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นตามธรรมชาติและกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น เป็นเหตุทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนและเกิดสิว
  • น้ำมันแร่ (Mineral Oils) เป็นสารที่พบในครีมและโลชั่นบางชนิด เนื่องจากเป็นสารเคลือบที่ซึมเข้าสู่ผิวหนังไม่ได้ จึงกลายสภาพเป็นฟิลม์ปกคลุมสิวและอุดตันรูขุมขน ทำให้ไขมันและสิ่งสกปรกสะสมอยู่ใต้ผิวและกลายเป็นสิว
  • กรด AHA และ BHA เป็นสารที่ใช้ผลัดเซลล์ผิวเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว  ทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้น แต่หากใช้ในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้ผิวระคายเคือง รวมถึงทำลายเกราะป้องกันผิวให้อ่อนแอลงและไวต่อการระคายเคืองมากขึ้น เสี่ยงต่อการอักเสบและเกิดสิวง่ายขึ้น

สัญญาณเตือนของสิวแพ้ครีม

  • มีผื่นแดงหรือรู้สึกคันบริเวณที่ทาครีม
  • เกิดสิวขึ้นหลังจากทาครีมไปได้ไม่นาน
  • ผิวหนังบริเวณที่ทาครีมบวมขึ้นและอักเสบมากกว่าปกติ
  • สิวที่เกิดจากการแพ้อาจมีหนองหรือมีของเหลวภายในสิว
  • ผิวแห้ง ลอกง่ายหลังจากทาครีมไปได้สักพัก
  • รู้สึกระคายเคือง หรือเจ็บๆ ปวดๆ เวลาสัมผัส

สิวแพ้ครีม อันตรายไหม

จริงอยู่ที่สิวแพ้ครีมส่วนใหญ่จะเป็นสิวอุดตัน เช่น สิวหัวขาว สิวหัวดำ แต่หากปล่อยไว้นานๆ หรือรักษาสิวผิดวิธี ก็อาจทำให้สิวอักเสบรุนแรงยิ่งขึ้นและมีโอกาสติดเชื้อและแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกาย ดังนั้นหากพบว่าสิวแพ้ครีมรุนแรงมากกว่าเดิมให้รีบพบแพทย์ผิวหนังโดยเร็วที่สุดครับ

สิวแพ้ครีม รักษายังไงดี

1. หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เกิดการแพ้ทันที

เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ปัญหาสิวรุนแรงมากยิ่งขึ้นและลดความเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็นหลังจากสิวหายได้อีกด้วย เพราะถ้าคุณฝืนใช้ต่อก็จะยิ่งทำให้สภาพผิวแย่ลง ส่งผลให้สิวไม่หายและกลายเป็นปัญหาที่ยากต่อการรักษา เมื่อหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เกิดการแพ้แล้ว คุณจะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในสภาพผิวภายใน 3-7 วัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการแพ้ หากผิวเริ่มดีขึ้น อาการระคายเคืองและสิวจะเริ่มลดลง ผิวจะกลับมาชุ่มชื้นและมีสุขภาพดี หากไม่พบความเปลี่ยนแปลงหรืออาการแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีการรักษาที่เหมาะสม

แต่หากจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์บางตัวในระหว่างนี้ เช่น ครีมบำรุง ยารักษาสิว ควรเลือกผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยนและปราศจากสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง โดยสังเกตจากคำว่า Non-comedogenic หรือ Hypoallergenic ทั้งนี้เราขอแนะนำให้ทดสอบโดยการแต้มครีมเป็นจุดเล็ก ๆ บนหลังมือ หรือที่เรียกว่า Patch Test เพื่อดูว่ามีปฏิกิริยาแพ้หรือไม่ หากมีอาการแพ้ก็จะแสดงอาการในช่วง 24-48 ชั่วโมง หลังการทดสอบ แต่หากครีมเหมาะกับผิวของเราก็จะไม่เกิดปฏิกิริยาแพ้แต่อย่างใด

2. รักษาความสะอาดของผิว

เริ่มด้วยการล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์และโฟมล้างหน้าสูตรอ่อนโยน (ปราศจากน้ำหอมและแอลกอฮอล์) เพื่อขจัดสิ่งสกปรก, เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และน้ำมันส่วนเกินที่อาจทำให้รูขุมขนอุดตัน ที่สำคัญควรล้างหน้าเป็นประจำทุกวัน วันละ 2 ครั้ง (ช่วงเช้าและเย็น) เพื่อให้ผิวสะอาดแต่ยังคงชุ่มชื้น ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเกิดสิวจากการแพ้ครีมได้เป็นอย่างดี

3. ใช้ผลิตภัณฑ์ฟื้นฟูผิว

สำหรับผลิตภัณฑ์ฟื้นฟูผิวที่เราขอแนะนำจะเป็นมอยส์เจอไรเซอร์ ที่มีคุณสมบัติ Non-comedogenic เพื่อไม่ให้เกิดการอุดตันภายในรูขุมขนและลดโอกาสเกิดสิว นอกจากนี้ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารบำรุงฟื้นฟู เช่น Centella Asiatica หรือ Aloe Vera ที่ช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการระคายเคือง ซึ่งจะช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงของการเกิดสิวซ้ำ

4. ทายารักษาสิว

ยารักษาสิวที่ใช้จะต้องมีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide หรือ Clindamycin โดย Benzoyl Peroxide มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อและลดการอักเสบ ช่วยให้สิวแห้งเร็วขึ้นด้วย ส่วน Clindamycin เป็นยาปฏิชีวนะที่ช่วยลดการอักเสบและลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว กรณีที่ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์แล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงกว่าเดิม ไม่ควรซื้อมาใช้เองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แนะนำให้พบแพทย์เพื่อหาทางรักษาที่ถูกวิธี

5. ปรึกษาแพทย์

หากสิวแพ้ครีมไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นหรือเริ่มมีอาการรุนแรงยิ่งขึ้น เช่น สิวอักเสบมากขึ้น, สิวบวมมากกว่าเดิม หรือเกิดหนอง ให้รีบพบแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการรักษาที่เหมาะสม แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะ ในกรณีที่พบการติดเชื้อหรือการอักเสบจากแบคทีเรีย หรือบางกรณีอาจใช้ยาสเตียรอยด์เพื่อบรรเทาอาการอักเสบและลดการระคายเคือง ทั้งนี้ควรใช้ยาสเตียรอยด์ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น หากใช้ยานี้มากเกินไปก็อาจเกิดผลข้างเคียงหรือกระตุ้นให้ปัญหาผิวรุนแรงขึ้นในระยะยาว

สิวหายแล้วแต่ยังมีหลุมสิว รักษาหลุมสิววิธีไหนดีที่สุด

โปรแกรม ScarSurgery หรือ ศัลยกรรมเสริมเนื้อใต้หลุมสิวถาวรด้วยเทคโนโลยี Juvgen จาก Gentle Clinic ที่ถูกคิดค้นด้วย ดร.จิน หรือนายแพทย์ จินเซฮุน (Dr. Jin Se-hun) ศัลยแพทย์ชื่อดังจากเกาหลี ผ่านการฉีด Co2 foam ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) และกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) อนุภาคเล็กเข้าไปยังชั้นหนังแท้ใต้แผลเป็น หลุมสิว หรือริ้วรอยร่องลึก โดยแพทย์จะฉีดสารเข้าไปทีละนิด ๆ เพื่อฉีกเซลล์ทิ้งและกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากเพื่อปิดหลุมสิวในทันที แต่หลังจากการรักษาประมาณ 30-60 วัน ตัวสารที่ฉีดเข้าไปจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากบริเวณหลุมสิว ส่งผลให้มีการเติมเต็มเนื้อเยื่ออย่างถาวร คนไข้จึงไม่จำเป็นต้องกลับมารักษาซ้ำเป็นรอบที่สอง

นอกจากนี้ตัวเครื่องจูวีเจนถูกออกแบบสำหรับรักษาปัญหาผิวหน้าโดยเฉพาะ คนไข้จึงไม่ต้องฉีดยาชาบรรเทาอาการเพราะไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองใดๆ ทั้งระหว่างและหลังการรักษาแล้ว และที่สำคัญยังไม่มีผลข้างเคียงหลังการรักษาอีกด้วยครับ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: บริการฉีดสร้างเนื้อหลุมสิวถาวร Juvgen จาก Gentle Clinic 

บทความที่น่าสนใจ

ทำ Juvgen ที่ไหนดี ทำไมต้อง Gentle Clinic

Gentle Clinic เราเป็นเจ้าแรกในไทยที่ใช้เทคนิคการรักษาหลุมสิว JuvGenesis จาก Dr.จิน (Jin Se-hun) ผ่านโปรแกรม ScarSurgery ที่กล้าการันตีผลลัพธ์หลังการรักษา ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องมาทำซ้ำ และที่สำคัญตัวเครื่องมือถูกออกแบบมาสำหรับรักษาปัญหาหลุมสิวโดยเฉพาะ จึงรักษาปัญหาได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ปลอดภัยต่อทุกสีผิว (ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงเหมือนเลเซอร์) ระหว่างทำไม่จำเป็นต้องแปะยาชาเพราะไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาเหมือนวิธีอื่นๆ อีกด้วย

นอกจากเทคนิคการรักษาและเครื่องมือคุณภาพสูงแล้ว เรายังมีทีมแพทย์ของมากประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์และรักษาได้อย่างตรงจุด มีช่องทางการติดต่อให้ผู้ที่สนใจทั้ง 4 ช่องทาง เพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุดจากเรา

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม JuvGenesis

แชร์บทความนี้

Facebook
Twitter

พร้อมยินดีให้คำปรึกษา

เจนเทิล คลีนิก เปิดให้บริการเวลา 12.00 – 20.00 น.

บทความที่น่าสนใจ