หลายครั้งที่สิวเกิดจากพฤติกรรมการดูแลผิวที่ผิดวิธี แต่ทราบหรือไม่ว่าบางครั้งสิวก็อาจเกิดจากกรรมพันธุ์ได้ด้วยเช่นกัน แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองมีปัญหาสิวจากภาวะดังกล่าว แม้จะพยายามรักษาด้วยยาแต้มสิวหรือยาทานจากเภสัชกรก็ยังไม่หายจากสิวสักที และในวันนี้เราจะพามาทำความรู้จักกับสิวกรรมพันธุ์ให้มากขึ้นเพื่อการรักษาที่ตรงจุดที่สุด
สิวกรรมพันธุ์คืออะไร
เป็นสิวที่เกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่หรือสมาชิกในครอบครัวผ่านยีน AR, ยีน CYP17A1 และยีน FGFR2 ที่มีผลต่อการพัฒนาต่อมไขมันและการผลิตน้ำมัน ส่วนยีน TNF-α จะมีผลต่อการอักเสบและระบบภูมิคุ้มกัน และยีน MC1R จะมีผลต่อการตอบสนองต่อการอักเสบของผิวหนัง โดยสิวประเภทนี้เกิดจากการทำงานผิดปกติของต่อมไขมันใต้ผิวหนังที่ทำหน้าที่ผลิตซีบัม (Sebum) สำหรับรักษาสมดุลความชุ่มชื้นให้แก่ผิว เมื่อต่อมไขมันทำงานผิดปกติก็จะผลิตซีบัมออกมามากไปและกระตุ้นให้รูขุมขนขยายตัวเพื่อขับน้ำมันออก เป็นเหตุทำให้รูขุมขนกว้างขึ้นและมีสิ่งสกปรกต่างๆ รวมถึงเซลล์ผิวที่ตายแล้วเข้าไปอุดตันรูขุมขนจนกลายเป็นสิวได้
หากพูดถึงระดับความรุนแรงของสิวประเภทนี้จะรุนแรงและรักษาให้หายได้ยากกว่าสิวที่เกิดจากปัจจัยภายนอก เนื่องจากสิวประเภทนี้เกิดจากการปัจจัยภายในอย่างต่อมไขมันที่ทำงานผิดปกติและมีผลต่อการอุดตันบริเวณรูขุมขนที่มากขึ้น อีกทั้งมีผลต่อการตอบสนองของการอักเสบในผิวอีกด้วย
สิวกรรมพันธุ์ สังเกตได้จากอะไรบ้าง
- ผิวหน้ามันแทบจะตลอดเวลา ทั้งที่ไม่ค่อยได้ออกแดด
- เป็นสิวเรื้อรังและเป็นสิวอักเสบรุนแรง แม้จะดูแลผิวอย่างถูกต้อง
- เป็นสิวอักเสบรุนแรง เช่น สิวหนอง สิวหัวช้าง มักเกิดบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น เช่น ใบหน้า หลัง หน้าอก และลำคอ
- การรักษาเบื้องต้นอาจไม่ได้ผล เช่น การใช้ยาแต้มสิว การล้างหน้าให้สะอาด รับประทานอาหารลดสิว เช่น ถั่วเลนทิล อัลมอนด์ คะน้า บรอกโคลี)
- มีปัญหาสิวเรื้อรังตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นและต่อเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่
- ต่อให้ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดสิว ก็ยังเป็นสิวเห่ออยู่ดี
สิวกรรมพันธุ์ อันตรายไหม มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง
แม้ว่าสิวกรรมพันธุ์จะไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่รีบรักษา ก็อาจส่งผลต่อผิวพรรณ สุขภาพจิต และคุณภาพชีวิตได้ในระยะยาว เนื่องจากสิวกรรมพันธุ์มักมีอาการเรื้อรังและรุนแรงกว่าสิวทั่วไป สำหรับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากสิวกรรมพันธุ์มีดังนี้
- ทิ้งรอยดำและรอยแดงบนผิวหนังหลังสิวหาย
- หากเป็นสิวอักเสบรุนแรงก็อาจทิ้งหลุมสิวไว้ให้ดูต่างหน้า
- ลดความมั่นใจในตัวเองเวลาพบปะผู้คน โดยเฉพาะผู้ที่มีสิวบริเวณแก้มหรือหน้าผาก
- เกิดความเครียดและความวิตกกังวลทุกครั้งเมื่อมองใบหน้าตัวเอง
- หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี สิวอักเสบอาจลุกลามไปยังบริเวณอื่นของร่างกาย เช่น หลัง หน้าอก หรือคอ
- หากปล่อยให้สิวอักเสบซ้ำซาก อาจทำให้รูขุมขนเสียหายถาวร
- หากไม่ได้รักษาจากต้นเหตุ อาจเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยารักษาสิวด้วยยาปฏิชีวนะหรือยาในกลุ่มเรตินอยด์ เช่น ผิวแห้ง ระคายเคือง หรือบางรายอาจเกิดการดื้อยา
- สิวกรรมพันธุ์มักเกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อฮอร์โมนที่ไม่สมดุล หากไม่รีบรักษาก็อาจทำให้สิวอักเสบลากยาวไปถึงช่วงวัยผู้ใหญ่
สิวกรรมพันธุ์ หายเองได้ไหม
สิวกรรมพันธุ์ไม่สามารถหายได้เอง เนื่องจากมีต้นเหตุมาจากพันธุกรรมที่ทำให้ต่อมไขมันทำงานผิดปกติ บวกกับปัญหาโครงสร้างผิวหนังที่ไวต่อการอักเสบกว่าคนทั่วไป ส่งผลให้ ซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างและการทำงานของผิวหนังในระยะยาว การฟื้นตัวของผิวที่ช้ากว่าปกติและเกิดสิวซ้ำ ๆ จนยากต่อการควบคุม หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาก็อาจเกิดสิวซ้ำๆ และอาจทิ้งรอยแผลเป็นหรือหลุมสิวถาวรได้ด้วย
แต่ถึงอย่างไรก็ตามระดับความรุนแรงของสิวกรรมพันธุ์อาจลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้นเนื่องจากระดับฮอร์โมนในร่างกายลดลง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่มีสิวพันธุกรรมจะยังคงมีปัญหาสิวเรื้อรังอยู่ดีแม้อายุจะมากขึ้นก็ตาม
รักษาสิวกรรมพันธุ์ได้ด้วยวิธีไหนบ้าง
1. การรักษาโดยวิธีทางการแพทย์
แบ่งเป็นการใช้ยาทา เช่น เรตินอยด์ (Retinoid) หรือเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) ที่นอกจากจะช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนแล้ว ยังช่วยให้ผิวแห้ง ลดน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้า อีกทั้งช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่อุดตันรูขุมขน ส่วนยาทานจะใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อลดการอักเสบหรือยาในกลุ่มฮอร์โมนสำหรับผู้หญิง เช่น ยาคุมกำเนิด แต่หากยังรักษาไม่ได้ แพทย์จะทำการรักษาด้วยวิธีเฉพาะทางอย่างการทำเลเซอร์หรือการลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peel) ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
2. การดูแลผิวให้เหมาะกับสภาพผิว
หากคุณมีผิวมัน (Oily Skin)
- คลีนเซอร์ ควรใช้สูตรควบคุมความมัน (Oil Control) หรือมีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid)
- มอยส์เจอไรเซอร์ ควรใช้สูตรเนื้อบางเบา (Oil-free) หรือเจล กันแดด: สูตรน้ำหรือเจล (Non-comedogenic)
- ผลิตภัณฑ์เสริม ควรใช้โทนเนอร์ที่ช่วยลดความมัน เช่น มีส่วนผสมของ Witch Hazel
หากคุณมีผิวแห้ง (Dry Skin)
- คลีนเซอร์ ควรใช้สูตรอ่อนโยน ไม่มีสารทำให้ผิวแห้ง เช่น ซัลเฟต (Sulfate)
- มอยส์เจอไรเซอร์ ควรใช้สูตรครีมเข้มข้น มีส่วนผสมของเซราไมด์ (Ceramide) หรือกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid)
- กันแดด ควรใช้กันแดดที่มีเนื้อครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
- ผลิตภัณฑ์เสริม ควรใช้น้ำมันบำรุงผิว หรือมาส์กหน้าเพิ่มความชุ่มชื้น
หากคุณมีผิวผสม (Combination Skin)
- คลีนเซอร์ ควรใช้สูตรสำหรับผิวผสม หรือเจลล้างหน้าสูตรสมดุล
- มอยส์เจอไรเซอร์ ควรใช้สูตรบางเบา โดยใช้เฉพาะบริเวณที่มีผิวแห้ง
- กันแดด ควรใช้กันแดดสูตรน้ำ (Non-comedogenic)
- ผลิตภัณฑ์เสริม ควรใช้โทนเนอร์ช่วยสมดุลความมันและความชุ่มชื้น
หากคุณมีผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin)
- คลีนเซอร์ ควรใช้สูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอมและแอลกอฮอล์
- มอยส์เจอไรเซอร์ ควรใช้สูตร Hypoallergenic หรือเนื้อครีมที่ให้ความชุ่มชื้นโดยไม่ก่อการระคายเคือง
- กันแดด ควรใช้กันแดดสูตรสูตร Physical Sunscreen (Mineral Sunscreen) เช่น Zinc Oxide หรือ Titanium Dioxide
- ผลิตภัณฑ์เสริม ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนังมาแล้วว่า เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
หากคุณมีผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin)ผิวธรรมดา (Normal Skin)
- คลีนเซอร์ ควรใช้สูตรอ่อนโยนหรือแบบเจล
- มอยส์เจอไรเซอร์ ควรใช้สูตรเบาสบาย ไม่เหนอะหนะ
- กันแดด แม้จะใช้ได้ทุกประเภท แต่ควรเลือกสูตรที่ไม่อุดตันรูขุมขน
- ผลิตภัณฑ์เสริม ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน C
3. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดสิว
- ห้ามบีบหรือแกะสิวเพื่อป้องกันการเกิดสิวอักเสบและหลุมสิว
- หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นให้เกิดสิว เช่น น้ำตาลและของทอด
- จัดการความเครียดไม่ให้กระทบต่อการใช้ชีวิต
- พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ควรนอนน้อยกว่าช่วงเวลาที่ร่างกายต้องการ (7-8 ชม.)
- สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันหากจำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่กลางแจ้งเป็นเวลานาน
แม้ว่าสิวกรรมพันธุ์จะไม่หายไปได้เองโดยธรรมชาติ แต่เราก็สามารถควบคุมและจัดการได้ด้วยการรักษาและดูแลผิวอย่างเหมาะสม และที่สำคัญหากมีสิวเกิดขึ้นเรื้อรังก็ควรรีบปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อช่วยกันหาวิธีรักษาที่ตรงจุดและลดผลกระทบระยะยาว โดยเฉพาะการเกิดหลุมสิวที่รักษายากและใช้เวลานานพอสมควร
แล้วถ้าสิวกรรมพันธุ์หาย กลายเป็นหลุมสิวแล้ว จะทำยังไงดี
ในกรณีที่คุณรักษาสิวกรรมพันธุ์ให้หายไปได้แล้วแต่ยังมีหลุมสิวทิ้งไว้ต่างหน้าอยู่ดี เราขอแนะนำ JUVGEN เทคนิคการรักษาหลุมสิวด้วยการฟื้นฟูผิวตัวเอง จาก Gentle Clinic ที่ถูกคิดค้นโดย จินเซฮุน (Dr. Jin Se-hun) ศัลยแพทย์ชื่อดังจากเกาหลี ผ่านการฉีด Co2 foam กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) อนุภาคเล็กลงไปในชั้นหนังแท้ใต้หลุมสิวเพื่อฉีกเซลล์เก่าทิ้งและกระตุ้นการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากขึ้นมาใหม่ภายใน 3-5 วัน เพื่อให้เกิดเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาเติมเต็มหลุมสิวให้กลับมาเรียบเนียนเหมือนผิวบริเวณอื่นบนใบหน้าภายในการรักษาเพียงครั้งเดียว นอกจากจะไม่ต้องฉีดยาชาบรรเทาอาการเพราะตัวเครื่องมือถูกออกแบบสำหรับรักษาปัญหาผิวหน้าโดยเฉพาะ จึงไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองใดๆ ทั้งระหว่างและหลังการรักษาแล้ว ไม่มีผลข้างเคียงหลังการรักษาอีกด้วยครับ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: JUVGEN คืออะไร ทำไมถึงตอบโจทย์การดูแลผิวหน้าของคนยุคใหม่
บทความที่น่าสนใจ
- รวมทุกปัญหาผิวหน้าที่คุณควรรู้ ก่อนผิวโทรมจะถามหา
- หยุดปัญหาสิวไม่หายสักที เพียงแค่แก้จากสาเหตุต่อไปนี้
- ฉีดหลุมสิว ดีจริงไหม ทำไม JUVGEN ถึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ทำ Juvgen ที่ไหนดี ทำไมต้อง Gentle Clinic
GentleClinic เราเป็นทีมแรกในไทยที่ใช้เครื่อง JuvGen รักษาหลุมสิวและร่องลึก โดยได้รับการเทรนโดยตรงจาก Dr.จิน (Jin Se-hun) เราพร้อมด้วยประสบการณ์และเทคนิคในการยิงหลุมที่ลึกและยากกว่าหลุมทั่วไป เช่น box scar ที่มีขอบแข็ง หลุมแผลเป็นลึกจากอีสุกอีใส ร่องพับลึกบนหน้าฝาก เป็นต้น เราจึงกล้าการันตีผลการรักษา จ่ายครั้งเดียวจบ เติมหลุมสิวจนเต็มโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม JuvGen
- เบอร์โทรศัพท์: 099-245-7555
- Line: https://page.line.me/gentleclinic
- Facebook: Gentle Clinic
- Instagram: gentleclinic_thailand