วิธีเช็คสภาพผิวหน้า เพื่อการดูแลอย่างถูกวิธี ห่างไกลหลุมสิว

Facebook
Twitter

การเช็คสภาพผิวหน้าเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้คุณดูแลผิวให้ถูกวิธี นอกจากจะช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียนแล้ว ยังช่วยป้องกันปัญหาหลุมสิวหรือปัญหาผิวหน้าอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย แต่หากคุณไม่รู้วิธีเช็คสภาพผิวหน้าตัวเองว่าควรทำอย่างไร วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังครับ

เช็คสภาพผิวหน้าด้วยตัวเอง มีวิธีไหนช่วยได้บ้าง

1. สังเกตผิวหน้าหลังล้างหน้า

หลังจากล้างหน้าเสร็จแล้ว จะมีสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกว่าผิวหน้าของคุณเป็นรูปแบบไหน หากรู้สึกว่ามีความมันส่วนเกินบริเวณ T-Zone ได้แก่ หน้าผาก, จมูก และคาง หรือรู้สึกมันทั่วทั้งใบหน้า รู้สึกเหนียวหรือมันเงาบนผิวหน้า ลองใช้ทิชชูทดสอบบนผิวหน้าแล้วพบว่าทิชชู่มันมาก แสดงว่าคุณมีผิวมัน (Oily Skin) แต่หากคุณรู้สึกตึงหลังจากล้างหน้า หรือมีผิวลอกเป็นขุยเล็กๆ ผิวแห้งกร้าน หรือรู้สึกระคายเคืองหลังล้างหน้า แสดงว่าคุณมีผิวแห้ง (Dry Skin) หากใครที่มีผิวมันบริเวณ T-Zone แต่บริเวณแก้มมีผิวแห้ง ลอก แสดงว่าคุณมีผิวผสม (Combination Skin) หากคุณล้างหน้าแล้วไม่รู้สึกว่าผิวแห้งหรือมันเกินไป ผิวเรียบเนียน แสดงว่าคุณมีผิวธรรมดา (Normal Skin) แต่หากคุณล้างหน้าแล้วมีผิวแดงขึ้นหรือมีรอยอักเสบ แสดงว่าคุณมีผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin)

2. เช็ครูขุมขน

สภาพรูขุมขนที่แตกต่างกันสามารถบ่งบอกถึงลักษณะของผิวและการทำงานของต่อมไขมันที่ผลิตน้ำมันได้ด้วยเช่นกัน หากคุณมีผิวมันจะมีรูขุมขนที่ใหญ่และเห็นได้ชัดเจนบริเวณ T-Zone หากคุณมีผิวแห้งจะมีรูขุมขนที่เล็ก มีผิวแห้งตึงหลังทำความสะอาด หรือผิวลอกเป็นขุย แต่หากคุณมีผิวผสมจะมีรูขุมขนกว้างบริเวณ T-Zone แต่มีรูขุมขนเล็กบริเวณแก้ม ส่วนผู้ที่มีผิวธรรมดาจะมีขนาดรูขุมขนที่พอดี ไม่กว้างหรือแคบเกินไป ผิวเนียนนุ่ม ไม่แห้งกร้าน มองเห็นรูขุมขนไม่ค่อยชัด แต่หากคุณมีผิวแพ้ง่ายจะสังเกตเห็นว่ารูขุมขนขยายใหญ่แต่ดูบวมผิดปกติ

3. ทาครีมบำรุงผิว

การทาครีมบำรุงจะแสดงปฏิกิริยากับสภาพผิวที่แตกต่างกันไป หากคุณทาครีมแล้วรู้สึกแห้งตึงหลังจากทาครีมได้ไม่นาน แสดงว่าผิวของคุณเป็นผิวแห้งง่าย จึงดูดซึมเนื้อครีมได้ไว หากคุณทาครีมแล้วรู้สึกเหนียวเหนอะหนะหรือใบหน้ามันขึ้นอย่างรวดเร็ว แสดงว่าเป็นผิวมัน หรือหากคุณทาครีมบริเวณ T-Zone แล้วรู้สึกมัน แต่ทาบริเวณแก้มแล้วรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ แสดงว่าเป็นผิวผสม ส่วนผู้ที่มีผิวธรรมดาจะรู้สึกสบายๆ ครีมดูดซึมเข้าสู่ผิวได้ดี ไม่รู้สึกแห้งตึงหรือผิวมันเกินไป แต่หากคุณมีผิวแดงหรือรู้สึกระคายเคือง แสบร้อนบริเวณที่ทาครีม แสดงว่าคุณมีผิวแพ้ง่ายครับ

4. เช็คจากปัญหาผิวหน้า

หากคุณมีสิวหรือผื่นเกิดขึ้นบนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณ T-Zone อาจเป็นสัญญาณของผิวมัน, การอุดตันของรูขุมขนจนทำให้รูขุมขนขยายตัว หรือการระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์ แสดงว่าคุณมีผิวมัน แต่หากคุณมีผิวแห้ง ลอกเป็นขุยหลังจากทำความสะอาดผิวหน้าได้ไม่นาน หรือผิวลอกง่ายในช่วงอากาศหนาว แสดงว่าคุณมีผิวแห้ง แต่หากคุณมีผิวแดง ระคายเคืองง่ายหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางชนิด หรือสัมผัสกับมลภาวะจากนอกบ้าน แสดงว่าคุณมีผิวแพ้ง่ายที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ

เช็คสภาพผิวหน้า ดีอย่างไร

นอกจากจะช่วยให้เรารู้สภาพผิวที่แท้จริงของตัวเอง ทำให้เราเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิวแล้ว ยังช่วยให้เราติดตามผลจากการใช้ผลิตภัณฑ์ได้โดยสามารถกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนได้ เนื่องจากผิวหน้าแต่ละแบบมีการตอบสนองต่อผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันออกไป ส่งผลให้ขั้นตอนและระยะในการดูแลผิวแต่ละแบบจึงไม่เท่ากัน อีกทั้งการเช็คสภาพผิวหน้ายังป้องกันปัญหาผิวที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม การดูแลแบบผิดๆ หรืออายุที่มากขึ้นได้อีกด้วย

เช็คสภาพผิวหน้า ควรทำตอนไหนดี

ควรทำในช่วงเวลาที่ผิวสะอาดและไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว นั่นคือช่วงหลังจากล้างหน้าในตอนเช้าหรือก่อนเข้านอน ซึ่งจะช่วยให้คุณสังเกตลักษณะของผิวได้ชัดเจนมากที่สุด ทั้งนี้อาจเช็คหลังจากล้างหน้าเสร็จแล้วประมาณ 15-30 นาที เพื่อให้ผิวได้ปรับสภาพและไม่ปนเปื้อนด้วยผลิตภัณฑ์ใดๆ

เช็คสภาพผิวหน้า วิธีไหนดีสุด

หากคุณรู้สึกไม่มั่นใจว่าตัวเองเช็กถูกวิธีหรือไม่ หรือคิดว่าผลลัพธ์ไม่น่าจะตรงกับที่คิดไว้ แนะนำให้เข้ารับการตรวจเช็กกับคลินิกเสริมความงามชั้นนำจะดีที่สุด เพราะคลินิกเหล่านี้จะมีเครื่องมือวิเคราะห์ผิวหน้า (Skin Analysis Device) โดยการวัดค่าต่างๆ ของผิวหน้า ทั้งความชุ่มชื้น, ความมัน, ความละเอียดของผิว และสภาพคอลลาเจนในผิว ที่ช่วยวิเคราะห์สภาพผิวในด้านต่างๆ ได้อย่างแม่นยำและช่วยให้คุณดูแลผิวได้อย่างถูกวิธี

รู้สภาพผิวหน้าแล้ว แต่รักษาหลุมสิวไม่ทัน รักษาด้วยวิธีไหนดี

โปรแกรม ScarSurgery หรือ ศัลยกรรมเสริมเนื้อใต้หลุมสิวถาวรด้วยเทคโนโลยี Juvgen จาก Gentle Clinic ที่ถูกคิดค้นด้วย ดร.จิน หรือนายแพทย์ จินเซฮุน (Dr. Jin Se-hun) ศัลยแพทย์ชื่อดังจากเกาหลี ผ่านการฉีด Co2 foam ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) และกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) อนุภาคเล็กเข้าไปยังชั้นหนังแท้ใต้แผลเป็น หลุมสิว หรือริ้วรอยร่องลึก โดยแพทย์จะฉีดสารเข้าไปทีละนิด ๆ เพื่อฉีกเซลล์ทิ้งและกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากเพื่อปิดหลุมสิวในทันที แต่หลังจากการรักษาประมาณ 30-60 วัน ตัวสารที่ฉีดเข้าไปจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากบริเวณหลุมสิว ส่งผลให้มีการเติมเต็มเนื้อเยื่ออย่างถาวร คนไข้จึงไม่จำเป็นต้องกลับมารักษาซ้ำเป็นรอบที่สอง

นอกจากนี้ตัวเครื่องจูวีเจนถูกออกแบบสำหรับรักษาปัญหาผิวหน้าโดยเฉพาะ คนไข้จึงไม่ต้องฉีดยาชาบรรเทาอาการเพราะไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองใดๆ ทั้งระหว่างและหลังการรักษาแล้ว และที่สำคัญยังไม่มีผลข้างเคียงหลังการรักษาอีกด้วยครับ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: บริการฉีดสร้างเนื้อหลุมสิวถาวร Juvgen จาก Gentle Clinic

บทความที่น่าสนใจ

ทำ Juvgen ที่ไหนดี ทำไมต้อง Gentle Clinic

Gentle Clinic เราเป็นเจ้าแรกในไทยที่ใช้เทคนิคการรักษาหลุมสิว JuvGenesis จาก Dr.จิน (Jin Se-hun) ผ่านโปรแกรม ScarSurgery ที่กล้าการันตีผลลัพธ์หลังการรักษา ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องมาทำซ้ำ และที่สำคัญตัวเครื่องมือถูกออกแบบมาสำหรับรักษาปัญหาหลุมสิวโดยเฉพาะ จึงรักษาปัญหาได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ปลอดภัยต่อทุกสีผิว (ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงเหมือนเลเซอร์) ระหว่างทำไม่จำเป็นต้องแปะยาชาเพราะไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาเหมือนวิธีอื่นๆ อีกด้วย

นอกจากเทคนิคการรักษาและเครื่องมือคุณภาพสูงแล้ว เรายังมีทีมแพทย์ของมากประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์และรักษาได้อย่างตรงจุด มีช่องทางการติดต่อให้ผู้ที่สนใจทั้ง 4 ช่องทาง เพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุดจากเรา

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม JuvGenesis

แชร์บทความนี้

Facebook
Twitter

พร้อมยินดีให้คำปรึกษา

เจนเทิล คลีนิก เปิดให้บริการเวลา 12.00 – 20.00 น.

บทความที่น่าสนใจ