คงไม่มีผู้ชายคนไหนอยากให้เกิดปัญหาสุขภาพน้องชายกันอยู่แล้วใช่ไหมครับ เพราะนอกจากจะสร้างความเจ็บปวดทรมานในจุดที่บอบบางสุด ๆ แล้ว ยังสร้างความลำบากในการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเวลาเข้าห้องน้ำหรือขณะทำภารกิจก็ตาม และมะเร็งองคชาตก็ถือเป็นอีกหนึ่งโรคร้ายที่หากไม่รีบรักษาก็อาจถึงขั้นต้องตัดน้องชายทิ้งได้เลยทีเดียว ว่าแต่โรคดังกล่าวเกิดจากอะไร มีวิธีรักษาและป้องกันอย่างไรได้บ้าง มาอ่านไปด้วยกันเลยครับ
มะเร็งองคชาตคืออะไร
เป็นโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นกับผิวหนังที่ห่อหุ้มองคชาตหรือเยื่อเมือกของหัวน้องชาย ส่วนใหญ่พบในผู้ชายที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ยังพบได้ในผู้ชายที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี ประมาณ 22% และผู้ชายที่มีอายุ 30 ปี เพียง 7% แม้ว่ามะเร็งองคชาตจะเกิดขึ้นได้ทุกบริเวณของน้องชายแต่มักพบที่หัวน้องชายหรือหนังหุ้มปลาย มะเร็งองคชาตแบ่งออกเป็น 4 ชนิด โดยชนิดที่พบบ่อยมากที่สุดจะเป็นมะเร็งสเควมัสเซลล์ (Squamous Cell Carcinoma) มักพบบริเวณส่วนขนของชั้นผิวหนังหรือเยื่อบุผิว รองลงมาจะเป็น Basal cell carcinoma (BCC), Melanoma และ Sarcoma
สาเหตุของมะเร็งองคชาต
สำหรับสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคดังกล่าวจะเกิดจากการมีหนังหุ้มปลายหุ้มหัวองคชาตอยู่ โดยหนังหุ้มปลายมีหน้าที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่หัวองคชาตซึ่งอาจกลายเป็นแหล่งสะสมของสารคัดหลั่งหรือสิ่งสกปรกจนกลายเป็นขี้เปียกและก่อให้เกิดการระคายเคือง อักเสบ จนพัฒนากลายเป็นเซลล์มะเร็ง หรืออาจเกิดจากภาวะหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศตีบ (Phimosis) จนทำให้รูดหนังหุ้มปลายขึ้นลงยากและไม่สามารถทำความสะอาดภายในหนังหุ้มปลายได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้อาจเกิดจากพฤติกรรมเสี่ยงอย่างการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย มีคู่นอนมากกว่า 1 คน จนทำให้ติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV) หรือติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV), การสูบบุหรี่เป็นประจำและทำให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้รับสารพิษจากบุหรี่เป็นเวลานาน, ผลข้างเคียงจากยาหรือวิธีการรักษาโรคสะเก็ดเงิน รวมถึงอายุที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไปด้วย
อาการของมะเร็งองคชาต
- มีฝ้าแดงหรือฝ้าขาวคล้ายฝ้าบนผิวหน้า ขึ้นอยู่บริเวณหัวน้องชาย
- มีก้อนเนื้อบริเวณหัวน้องชาย
- มีแผลเรื้อรัง (แผลไม่หายหลังจากรักษามาแล้ว 2 สัปดาห์)
- แผลอักเสบคล้ายหงอนไก่
- มีหนองหรือสารคัดมีกลิ่นเหม็น
- มีเลือดออกจากน้องชาย
- น้องชายบวม แต่ยังสามารถแข็งตัวได้ตามปกติ
- ต่อมน้ำเหลืองโตจนแตกเป็นแผลเปื่อยเน่า
- ถุงอัณฑะและขาบวมโตทั้งสองข้าง
ระยะของมะเร็งองคชาต มีอะไรบ้าง
1. ระยะที่ 1 (ระยะแรก)
เป็นระยะที่เซลล์มะเร็งจะเจริญเติบโตในชั้นผิวหนังขององคชาต ซึ่งยังไม่ลุกลามไปยังอวัยวะหรือเนื้อเยื่ออื่นๆ ในช่วงนี้จะปรากฏเป็นแผลหรือก้อนเล็กๆ ที่อาจมีขอบไม่ชัดเจน หรือเป็นรอยด่างที่ผิวหนังในบริเวณองคชาต โดยผู้ป่วยในระยะนี้อาจยังไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือมีอาการชัดเจน
2. ระยะสอง (ระยะกลาง)
เป็นระยะที่เซลล์มะเร็งลุกลามไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ในระดับที่ลึกขึ้นของน้องชาย ในช่วงนี้อาจมีอาการบวมของเนื้อเยื่อ หรือก้อนเนื้อมีขยายใหญ่ขึ้น แผลไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย แถมยังขยายไปยังส่วนต่างๆ เช่น ต่อมน้ำเหลืองในขาหนีบ แต่ในช่วงนี้เซลล์มะเร็งอาจไม่ได้แพร่กระจายไปยังอวัยวะหรือเนื้อเยื่ออื่นๆ ของร่างกาย
3. ระยะสาม (ระยะลุกลาม)
เป็นระยะที่เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองในขาหนีบหรือบริเวณใกล้เคียง อาจเห็นได้ว่าต่อมน้ำเหลืองบวมโตขึ้นหรือก้อนเนื้อเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด บางรายอาจพบแผลหรือก้อนเนื้อบริเวณองคชาตมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีอาการเจ็บปวดหรือเลือดออกอย่างต่อเนื่อง
4. ระยะสี่ (ระยะสุดท้าย)
เป็นระยะที่มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะหรือเนื้อเยื่ออื่นของร่างกาย เช่น ปอด ตับ กระดูก หรือสมอง อาการในระยะนี้จะมีอาการรุนแรงมาก เช่น แผลไม่หายสักที อาการปวดรุนแรงมาก หรือมีปัญหาทางร่างกายอื่นๆ ที่เกิดจากการแพร่กระจายของมะเร็ง การรักษามะเร็งในระยะนี้มักจะเน้นการบรรเทาอาการและยืดระยะเวลาในการดำรงชีวิต เช่น การให้เคมีบำบัด, การฉายรังสี หรือการใช้วิธีการรักษาแบบเฉพาะที่ช่วยควบคุมการเติบโตของเซลล์มะเร็ง แม้ว่าโอกาสในการรักษาหายขาดจะน้อยลงในระยะนี้ แต่ก็ยังรักษาให้ดีขึ้นได้
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นมะเร็งองคชาต
- อาการปัสสาวะผิดปกติ ปัสสาวะลำบาก กระปิดกระปอยหรือมีเลือดปนในปัสสาวะ
- มีแผลหรือก้อนที่ไม่หาย พบแผลที่ผิวหนังขององคชาตหรือก้อนแข็งๆ ที่ไม่หายไปสักที แม้จะผ่านไปนานเป็นเดือนแล้วก็ตาม
- มีเลือดออกจากองคชาต อยู่ดีๆ ก็มีเลือดออกจากองคชาตโดยไม่มีสาเหตุมาก่อน
- อาการเจ็บหรือปวด คนไข้รู้สึกเจ็บปวดบริเวณองคชาตหรืออวัยวะเพศตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงเจ็บปวดรุนแรง
- อาการบวมบริเวณขาหนีบ คนไข้อาจมีการบวมที่ขาหนีบหรือต่อมน้ำเหลืองบริเวณนั้น
- การเปลี่ยนแปลงรูปร่างขององคชาต องคชาตอาจมีรูปร่างที่บิดเบี้ยวหรือผิดรูปอย่างเห็นได้ชัด
มีวิธีเช็กด้วยวิธีทางการแพทย์ไหม
- CT Scan ดูสภาพช่องท้องหรืออุ้งเชิงกรานเพื่อตรวจหาการลุกลามของเซลล์มะเร็งในต่อมน้ำเหลือง
- ตรวจจากน้ำปัสสาวะ เพื่อดูประสิทธิภาพของอวัยวะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขับถ่าย
- ตรวจโลหิต CBC เพื่อดูค่าน้ำตาลและการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ
- X-Ray ปอด เพื่อตรวจดูการกระจายของเชื้อโรคผ่านระบบทางเดินหายใจ
รักษามะเร็งองคชาต ได้ด้วยวิธีไหนบ้าง
1. ใช้เลเซอร์ตัดผิวหนังที่มีเซลล์มะเร็งออกและทำการปลูกถ่ายใหม่
แพทย์จะใช้เลเซอร์ที่มีความแม่นยำสูงในการตัดเนื้อเยื่อที่มีเซลล์มะเร็งออก เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง หลังจากนั้นจะทำการปลูกถ่ายผิวหนังใหม่ในบริเวณที่ได้รับการผ่าตัด เพื่อรักษาโครงสร้างขององคชาตและฟื้นฟูรูปร่างให้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด
2. ฉายรังสีเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง
แพทย์จะใช้เครื่องปล่อยรังสีที่มีพลังงานสูงไปยังบริเวณที่มีเซลล์มะเร็ง โดยรังสีจะสร้างความเสียหายให้กับเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์ไม่สามารถเติบโตหรือแพร่กระจายได้อีก สำหรับการฉายรังสีจะใช้ในกรณีที่มะเร็งยังไม่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ หรืออาจรักษาร่วมกับการผ่าตัดหรือเคมีบำบัดในการบรรเทาอาการหรือป้องกันการกลับมาของมะเร็งหลังการรักษา
3. ใช้เคมีบำบัดแบบฉีดเข้าเส้นเลือดหรือแบบรับประทานเพื่อรักษามะเร็ง
แพทย์จะใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเซลล์มะเร็งหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ในรูปแบบของการฉีดเข้าเส้นเลือดหรือแบบรับประทาน ซึ่งการฉีดเคมีบำบัดเข้าสู่เส้นเลือดจะช่วยให้สารเคมีแพร่กระจายไปทั่วร่างกายและเข้าถึงเซลล์มะเร็งที่กระจายออกไปได้ ส่วนการรับประทานเคมีบำบัดจะเหมาะสมในกรณีที่มะเร็งยังไม่แพร่กระจายหรือทานเพื่อเสริมประสิทธิภาพการรักษาร่วมกับวิธีอื่น เช่น การผ่าตัดหรือการฉายรังสี เพื่อลดขนาดของเนื้องอกและป้องกันการกลับมาใหม่ของมะเร็ง แต่ก็อาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือผมร่วง ซึ่งต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด
4. ผ่าตัดเลาะต่อมน้ำเหลืองขาหนีบหากไม่พบก้อนโตของต่อมน้ำเหลือง
เป็นวิธีการรักษามะเร็งองคชาตในกรณีที่มะเร็งเริ่มแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองในขาหนีบ ซึ่งต่อมน้ำเหลืองเป็นจุดสำคัญในการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง หากแพทย์ไม่พบก้อนโตของต่อมน้ำเหลือง หรือพบว่าเซลล์มะเร็งยังไม่แพร่กระจายไปมาก การผ่าตัดเลาะต่อมน้ำเหลืองจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการกระจายของมะเร็งและช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยแพทย์จะผ่าตัดเอาต่อมน้ำเหลืองที่อาจได้รับผลกระทบออกไปเพื่อป้องกันไม่ให้มะเร็งแพร่กระจายต่อไป การผ่าตัดดังกล่าวสามารถทำร่วมกับวิธีอื่น เช่น การฉายรังสีหรือเคมีบำบัด
ดูแลตัวเองอย่างไรหลังการรักษา
- ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ หากใช้ยาหมดแล้วอาการไม่ดีขึ้น ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง
- รับประทานอาหารตามคำแนะนำของแพทย์
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่
- งดดื่มแอลกอฮอล์งดสูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่อบอ้าวหรือชื้นแฉะ เพื่อป้องกันแผลผ่าตัดอักเสบ
- งดการออกกำลังกายและกิจกรรมทางเพศจนกว่าแผลผ่าตัดจะหาย
- มาพบแพทย์ตามนัดเป็นประจำ
มะเร็งองคชาต ป้องกันได้ด้วยวิธีไหนบ้าง
1. มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
สาเหตุของมะเร็งองคชาตเกิดจากเชื้อ HPV หรือ HIV ที่มาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยมีคู่นอนหลายคน ไม่สวมถุงยางอนามัย ไม่ทำความสะอาดน้องชายทั้งก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นคุณจึงควรมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยมีคู่นอนคนเดียว มีเพศสัมพันธ์ไม่รุนแรงจนเกิดแผลอักเสบ ใช้อุปกรณ์ในการมีเพศสัมพันธ์ที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย รวมถึงสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อป้องกันการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
2. งดสูบบุหรี่
สารพิษต่าง ๆ ในบุหรี่มีผลทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพและอาจเกิดโรคเรื้อรังตามมาในระยะยาว ดังนั้นการเลิกบุหรี่จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งองคชาตได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยให้คุณหายใจสะดวกขึ้น เลือดไหลเวียนเข้าสู่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้อีกด้วย
3. ขลิบไร้เลือด
เพราะสาเหตุของโรคมะเร็งองคชาตจะเกิดจากหนังหุ้มปลายเป็นหลัก ดังนั้นการขลิบเอาหนังหุ้มปลายออกจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้เป็นอย่างดี ซึ่งการขลิบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้มากกว่าการป้องกันด้วยวิธีอื่น สำหรับการขลิบในปัจจุบันนิยมการขลิบไร้เลือดครับ เพราะการขลิบประเภทนี้จะให้ความแม่นยำในการผ่าตัดแบบ 100% พร้อมทั้งผ่าตัดและเย็บแผลในเวลาเดียวกัน จึงช่วยลดอาการบาดเจ็บได้ดีกว่าการขลิบแบบดั้งเดิมที่นอกจากจะใช้เวลารักษานานแล้ว ยังใช้เวลาพักฟื้นนาน แผลแห้งช้า เสี่ยงต่อการติดเชื้อระหว่างพักฟื้นได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
แม้ว่าการขลิบไร้เลือดจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งองคชาตได้ดี แต่หากคุณเลือกคลินิกขลิบไม่ได้มาตรฐาน ใช้การขลิบแบบดั้งเดิม ก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดแผลขลิบอักเสบ เป็นหนอง ที่อาจสร้างความเจ็บปวดและทำให้แผลขลิบหายช้าจนพัฒนากลายเป็นปัญหาน้องชายได้ในระยะยาวอีกด้วย ดังนั้นคุณควรศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการขลิบให้ดีเพราะการขลิบไร้เลือดที่ดีควรขลิบเพียงครั้งเดียวเท่านั้นครับ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: แผลขลิบเป็นหนองเกิดจากอะไร ดูแลอย่างไรให้แผลหายไว ไม่อักเสบ
ขลิบไร้เลือดครั้งเดียวในชีวิต ทำไมต้องขลิบกับ Gentle Clinic
แม้ว่าคลินิกขลิบส่วนใหญ่จะใช้วิธีขลิบไร้เลือดกันแล้ว แต่ที่ Gentle Clinic เรามีโปรแกรม OXYLAB (HBO Hyperbaric Oxygen Therapy) เป็นอุโมงค์ออกซิเจนแรงดันสูง ช่วยเพิ่มระดับออกซิเจน และ Growth Factor ในเนื้อเยื่อให้สูงกว่าปกติถึง 10 เท่า จึงช่วยเสริมประสิทธิภาพของการต้านการอักเสบ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ลดการอักเสบ ปวดบวม ฟกช้ำของกล้ามเนื้อ จึงไร้อาการปวดในทันทีและไร้อาการบวมอักเสบในวันต่อมา อีกทั้งช่วยเร่งสมานแผล ให้แผลแห้งไวภายใน 3 วัน ลดการติดเชื้อได้มากกว่า 90% จึงไม่ต้องพักฟื้นอย่างแท้จริง ไม่ต้องทำแผลเองที่บ้าน โดยบริการนี้คนไข้จะได้รับทันทีที่ขลิบไร้เลือดเสร็จ ซึ่งจะช่วยบบรเทาอาการปวดที่จะเกิดขึ้นหลังการขลิบได้เป็นอย่างดี
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: บริการขลิบ ขลิบไร้เลือด ขลิบคลิกเดียว แผลเรียบสวย ไร้เลือด
สำหรับใครที่กำลังมองหา คลินิกขลิบปลายผู้ใหญ่ มากประสบการณ์ การันตีด้วยจำนวนเคสสำเร็จและรีวิวความประทับใจจากลูกค้าจำนวนมาก เรา Gentle Clinic คือคำตอบ เพราะเราเป็นคลินิกเจ้าแรก ๆ ในประเทศไทยที่นำเอาเครื่องขลิบแบบอัตโนมัติแบบสวมครอบ (Round Stapler) ที่มีความแม่นยำสูงมาใช้ในการรักษา ทำให้ใช้เวลาขลิบและเย็บแผลเพียง 15 นาทีเท่านั้น ซึ่งจะช่วยลดอาการบาดเจ็บหลังการรักษาได้มากกว่าการขลิบแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ทีมแพทย์ของเรามีประสบการณ์สูง สามารถวิเคราะห์และรักษาได้อย่างตรงจุด สามารถรับแก้เคสขลิบแผลไม่สวยงามจากการขลิบที่อื่น คลินิกของเราพร้อมให้บริการทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดรวม 15 สาขา มีช่องทางการติดต่อให้ผู้ที่สนใจทั้ง 4 ช่องทาง ทั้งนี้ก็เพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุดจากเรา
- เบอร์โทรศัพท์: 099-245-7555
- Line: https://bit.ly/Gentle4Men
- Facebook: Gentle Clinic
- Instagram: gentleclinic_thailand
บทความที่น่าสนใจ
- หัวไม่เปิด มีเพศสัมพันธ์ได้มั้ย ทำไมต้องรักษาด้วยการขลิบไร้เลือด
- กามโรค ภัยร้ายที่ป้องกันได้ด้วยการดูแลน้องชายอย่างถูกวิธี
- ติดเชื้อ HPV แล้วรักษาได้ไหม การขลิบป้องกันได้อย่างไร
รีวิวขลิบไร้เลือดจาก Gentle Clinic
ดูรีวิวเต็ม ๆ ได้ที่ ลิงก์นี้
รีวิวจากผู้ใช้บริการ