สิวบอกโรคอะไรได้บ้าง ไม่อยากเป็นสิวบ่อย ทำอย่างไรดี

Facebook
Twitter

แม้ว่าสิวจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัย แต่หากคุณเป็นสิวเรื้อรังทั้งๆ ที่ไม่ได้มีพฤติกรรมเสี่ยงใดๆ นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังประสบปัญหาสุขภาพที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ในระยะยาว ว่าแต่สิวบอกโรคอะไรได้บ้าง ไม่อยากเป็นสิวบ่อย ควรทำอย่างไรดี วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ มาฝากครับ

สิวบอกโรคได้อย่างไร

สิวเป็นผลข้างเคียงจากปัญหาสุขภาพบางอย่าง เนื่องจากตำแหน่งที่เกิดสิวบนใบหน้าหรือส่วนอื่นของร่างกายสามารถเชื่อมโยงกับปัญหาในระบบต่างๆ ของร่างกายได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมถึงรักษาสิวไม่หายสักที ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีพฤติกรรมเสี่ยงหรือคนในครอบครัวไม่ได้มีปัญหาสิวเรื้อรัง เป็นสิวง่ายจากพันธุกรรม

สิวตำแหน่งไหน บอกโรคอะไรบ้าง

1. สิวที่หน้าผาก

สิวบริเวณหน้าผากอาจเกิดจากระบบย่อยอาหารทำงานหนักขึ้นจนเกิดภาวะอักเสบบริเวณเยื่อบุผนังลำไส้ใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า โรคลำไส้อักเสบ (Ulcerative Colitis) ที่นอกจากจะทำให้ท้องผูก ขับถ่ายลำบากขึ้นแล้ว ยังทำให้สารพิษสะสมอยู่ในร่างกายมากขึ้น ดังนั้นร่างกายจึงต้องพยายามขับสารพิษออกผ่านทางผิวหนังในรูปแบบของสิวที่หน้าผาก ส่วนสาเหตุของระบบย่อยอาหารทำงานหนักเกิดจากการรับประทานอาหารทอดหรืออาหารแปรรูปมากเกินไป, การดื่มน้ำน้อย, การรับประทานยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน หรือแม้แต่ภูมิคุ้มกันบกพร่องได้เช่นกัน

2. สิวที่แก้ม

สิวที่แก้มมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัส ได้แก่ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก หลอดลมอักเสบ ฯลฯ โดยร่างกายจะตอบสนองต่อไวรัสที่เข้ามาด้วยการอักเสบเพื่อกำจัดเชื้อโรค ซึ่งการอักเสบนี้เองจะไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันในผิวผลิตน้ำมันมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก ซึ่งมีต่อมไขมันหนาแน่น รวมถึงภูมิคุ้มกันในร่างกายจะลดบทบาทจากการซ่อมแซมผิวหนังไปต่อสู้กับเชื้อไวรัสแทน ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่สมดุลและเกิดสิวง่ายขึ้น และในช่วงระหว่างติดเชื้อ ร่างกายจะพยายามขับสารพิษและของเสียที่เกิดจากการกำจัดเชื้อโรคผ่านทางตับและไต ส่งผลให้ตับและไตทำงานหนักขึ้นจนต้องขับสารพิษออกทางผิวหนังด้วย ซึ่งการติดเชื้อทางเดินหายใจจะทำให้ร่างกายเผชิญกับความเครียดจากอาการอ่อนเพลีย ซึ่งความเครียดจะไปกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมามากขึ้น เป็นเหตุทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นด้วยเช่นกัน 

นอกจากนี้ยังเกิดจากภูมิแพ้หรือไซนัสอักเสบเรื้อรังที่อาจก่อให้เกิดอาการบวมโพรงจมูกและระบบทางเดินหายใจที่ไปกระตุ้นให้เกิดความร้อนภายในร่างกาย หากพูดตามแพทย์แผนจีนแล้ว ความร้อนที่สะสมอยู่ในร่างกายจะถูกขับออกผ่านทางผิวหนัง โดยเฉพาะหน้าผากซึ่งเป็นตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับความร้อนจากระบบหัวโดยตรง

3. สิวที่จมูก

ตามแนวคิด Face Mapping แล้ว จมูกเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด หากระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานหนักขึ้น จะทำให้การไหลเวียนโลหิตไปยังผิวหนังลดลง ความดันโลหิตสูง การเต้นของหัวใจผิดปกติ หรือหลอดเลือดตีบตันจนเกิดการสะสมของสารพิษในเลือด หรือหากคุณมีระดับคอเลสเตอรอลหรือไขมันในเลือดสูง ก็อาจเกิดการอุดตันของหลอดเลือดและรูขุมขนในบริเวณจมูกด้วย นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความร้อนในร่างกายมากกว่าปกติจนไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานหนักและผลิตไขมันมากขึ้น

4. สิวที่คางและสิวที่กราม

หากคุณมีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ หรือ PCOS (Polycystic Ovary Syndrome), โรคไทรอยด์ ทั้งไทรอยด์ฮอร์โมนสูง (Hyperthyroidism) และต่ำ (Hypothyroidism) จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแอนโดรเจนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบริเวณที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากอย่างคางและแนวกราม นอกจากโรคที่ทำให้หลั่งฮอร์โมนแอนโดรเจนเพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญอย่างโรคเบาหวานและภาวะดื้ออินซูลิน, โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันอย่างโรคลูปัส (Lupus), โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร (Inflammatory Bowel Disease) เช่น โรคโครห์น (Crohn’s Disease) หรืออาการลำไส้แปรปรวน (IBS) รวมถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของผิวหนังและต่อมไขมัน อย่างโรคต่อมไขมันอักเสบ (Sebaceous Hyperplasia) และโรคผิวหนังอักเสบจากการใช้ยาสเตียรอยด์

5. สิวใต้ตา

แม้จะเป็นจุดที่พบได้น้อยกว่าบริเวณอื่น แต่หากเกิดขึ้นแล้วอาจเกิดจากโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันอย่างโรคลูปัส (SLE) หรือแพ้ภูมิตัวเอง เป็นภาวะที่ภูมิคุ้มกันทำลายเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบของผิวหนังและเกิดสิวใต้ตาง่ายขึ้น, โรคที่เกี่ยวข้องกับต่อมไขมันอย่างโรคผิวหนังอักเสบโรซาเชีย (Rosacea) ที่มีผลทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณดวงตาง่ายขึ้น, การติดเชื้อที่ผิวหนัง (Folliculitis) จากแบคทีเรียหรือเชื้อราที่ทำให้รูขุมขนบริเวณใต้ตาอักเสบ รวมถึงผื่นผิวหนังอักเสบจากการแพ้ (Allergic dermatitis) จากการแพ้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ใต้ตา

รักษาสิวจากโรคด้วยวิธีไหนดี

1. รักษาที่ต้นเหตุ

หากคุณสังเกตตัวเองแล้วพบว่าตัวเองไม่ได้เป็นสิวจากพฤติกรรมเสี่ยง แต่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ ให้รีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางทันที เพราะหากปล่อยเอาไว้ก็อาจเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมาได้ในระยะยาว นอกจากการรักษาโรคแล้วแพทย์จะจ่ายยาบางชนิด เพื่อลดการหลั่งฮอร์โมนที่กระตุ้นให้เกิดสิวควบคู่กันไปด้วย เช่น ยาคุมกำเนิด ยาลดแอนโดรเจนสไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) เรตินอยด์ (Retinoids) เช่น Adapalene หรือ Tretinoin

2. ใช้ยารักษาสิว

แพทย์จะจ่ายยาทาภายนอกเพื่อลดแบคทีเรีย ลดการอักเสบ และกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเพื่อลดการอุดตันของสิ่งสกปรกบนใบหน้า เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide), กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ส่วนยาทานจะแบ่งเป็นยาปฏิชีวนะอย่างเช่น ด็อกซีไซคลิน (Doxycycline) มิโนไซคลิน (Minocycline) หรือไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin)

3. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

นอกจากการรักษาโรคที่ก่อให้เกิดสิวแล้ว แพทย์จะแนะนำให้คุณปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างที่คุณอาจทำอยู่ที่ก่อให้เกิดสิวง่ายขึ้น ยกตัวอย่างการล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะใครก็ตามที่ต้องใช้เครื่องสำอางก็ควรล้างหน้าให้สะอาดหมดจด เพื่อไม่ให้สิ่งสกปรกระหว่างวันตกค้างอยู่บนใบหน้าไปจนถึงเช้า, ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าให้เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง, งดการสัมผัสใบหน้าด้วยมือ, ลดปริมาณอาหารที่กระตุ้นให้เกิดสิว เช่น อาหารทอด อาหารแปรรูป ขนมหวานที่มีน้ำตาลสูง ปรับเวลานอนพักผ่อนให้ได้วันละ 7-8 ชั่วโมง รวมถึงจัดการความเครียดไม่ให้กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

หากคุณรักษาโรคหายแล้ว แต่ยังคงเผชิญปัญหาหลุมสิวที่ทิ้งเอาไว้หลังการรักษา เราขอแนะนำเทคนิคฟื้นฟูผิวหนังด้วยตัวเองอย่าง JUVGEN จาก Gentle Clinic ที่ถูกคิดค้นด้วย ดร.จิน หรือนายแพทย์ จินเซฮุน (Dr. Jin Se-hun) ศัลยแพทย์ชื่อดังจากเกาหลี ผ่านการฉีด Co2 foam ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) และกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) อนุภาคเล็กเข้าไปยังชั้นหนังแท้ใต้แผลเป็น หลุมสิว หรือริ้วรอยร่องลึก โดยแพทย์จะฉีดสารเข้าไปทีละนิด ๆ เพื่อฉีกเซลล์ทิ้งและกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากเพื่อปิดหลุมสิวในทันที แต่หลังจากการรักษาประมาณ 30-60 วัน ตัวสารที่ฉีดเข้าไปจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากบริเวณหลุมสิว ส่งผลให้มีการเติมเต็มเนื้อเยื่ออย่างถาวร คนไข้จึงไม่จำเป็นต้องกลับมารักษาซ้ำเป็นรอบที่สอง

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: JUVGEN ดียังไง ทำไมถึงเติมเต็มหลุมสิวลึกถาวร ภายในครั้งเดียว

บทความที่น่าสนใจ

ทำ Juvgen ที่ไหนดี ทำไมต้อง Gentle Clinic

GentleClinic เราเป็นทีมแรกในไทยที่ใช้เครื่อง JuvGen รักษาหลุมสิวและร่องลึก โดยได้รับการเทรนโดยตรงจาก Dr.จิน (Jin Se-hun) เราพร้อมด้วยประสบการณ์และเทคนิคในการยิงหลุมที่ลึกและยากกว่าหลุมทั่วไป เช่น box scar ที่มีขอบแข็ง หลุมแผลเป็นลึกจากอีสุกอีใส ร่องพับลึกบนหน้าฝาก เป็นต้น เราจึงกล้าการันตีผลการรักษา จ่ายครั้งเดียวจบ เติมหลุมสิวจนเต็มโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม JuvGen

แชร์บทความนี้

Facebook
Twitter

พร้อมยินดีให้คำปรึกษา

เจนเทิล คลีนิก เปิดให้บริการเวลา 12.00 – 20.00 น.

บทความที่น่าสนใจ