แม้ว่าคุณจะรักษาสิวให้หายไปแล้ว แต่พอผ่านไปไม่ถึงเดือนก็มีสิวเห่อขึ้นมาใหม่ ทำเอาคุณท้อใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าจะแก้ยังไงดี ซึ่งในความเป็นจริงแล้วปัญหาสิวไม่หายสักทีอาจเกิดจากพฤติกรรมบางอย่างที่คุณทำเป็นประจำได้ด้วยนะครับ ว่าแต่มีพฤติกรรมเสี่ยงอะไรบ้าง ต้องปรับเปลี่ยนอย่างไรดี วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังครับ
สิวไม่หายสักที เกิดจากอะไร
1. ระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
หากร่างกายมีการผลิตฮอร์โมนแอนโตรเจน (Androgen) ในระดับที่สูงขึ้น จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันขยายใหญ่และสร้างน้ำมันออกมามากขึ้น ก่อให้เกิดการอุดตันบริเวณรูขุมขน โดยช่วงวัยที่มีระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงบ่อยสุดจะเป็นช่วงวัยรุ่นและช่วงขณะตั้งครรภ์
2. กรรมพันธุ์
หากคนในครอบครัวมีภาวะที่ร่างกายผลิตซีบัม (Sebum) มากผิดปกติ ก็อาจถ่ายทอดปัญหาสิวมายังคนรุ่นลูกรุ่นหลานได้เช่นกันครับ กรณีที่คุณดูแลผิวหน้าเป็นอย่างดีมาโดยตลอดแต่ก็ยังมีสิวขึ้นเรื้อรัง แนะนำให้ลองไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูอย่างละเอียดจะดีกว่าครับ
3. การสัมผัสใบหน้าด้วยมือ
มือเป็นหนึ่งในอวัยวะที่เราใช้งานบ่อยมากที่สุดในแต่ละวัน จึงไม่แปลกเลยที่มือของเราจะเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่ต่อให้เราจะทำความสะอาดอย่างดีแค่ไหนแต่ก็ยังมีสิ่งสกปรกที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาอยู่ดี ยิ่งถ้าคุณชอบเอามือไปจับ แตะ แกะ เกาใบหน้าบ่อย ๆ ก็ยิ่งทำให้ผิวหน้าสัมผัสกับเชื้อโรคต่าง ๆ และเกิดสิวขึ้นมาง่ายขึ้น
4. การใช้เครื่องสำอางบางชนิดเป็นประจำ
แม้ว่าการล้างหน้าวันละ 2 ครั้งทุกวันจะช่วยให้ผลัดเซลล์ผิวได้ตามปกติ แต่หากคุณมีหน้าที่การงานที่จำเป็นต้องแต่งหน้าเป็นประจำและต้องใช้เครื่องสำอางบางชนิดที่มีความเป็นด่างสูง (ค่า pH8) หรือมีน้ำมันหอมระเหย (Essential Oil) ก็อาจเสี่ยงต่อปัญหาสิวเรื้อรังได้ด้วยนะครับ ยิ่งถ้าใครแต่งหน้าแล้วไม่ยอมล้างเครื่องสำอางออกก่อนนอนก็ยิ่งมีปัญหาสิวได้ง่ายขึ้น แถมยังเสี่ยงต่อปัญหาผิวหน้าอื่น ๆ ตามมาได้ง่ายขึ้นด้วยครับ
5. ดื่มน้ำน้อยเกินไป
น้ำเป็นสารที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหน้าได้เป็นอย่างดี แต่หากเราได้รับน้ำเข้าสู่ร่างกายน้อยกว่าวันละ 8 แก้วต่อวัน ก็อาจทำให้ร่างกายต้องกระตุ้นการหลั่งน้ำมันออกมาจากต่อมไขมันเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวหน้าเอาไว้ ซึ่งน้ำมันที่ออกมามากเกินไปก็จะเข้าไปอุดตันรูขุมขุนและก่อให้เกิดสิวซ้ำซาก
6. มลภาวะทางอากาศ
ต่อให้เราล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพดี ราคาแพงแค่ไหน แต่หากคุณจำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีมลภาวะทางอากาศสูง เช่น ถนน โรงงาน กลางแจ้ง ฯลฯ ก็อาจทำให้ผิวหน้าได้รับรังสี UV และสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อผิว ไม่ว่าจะเป็น PAHs (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons), ฝุ่น PM 2.5, แก๊สโอโซน (O3) และอื่น ๆ อีกมากที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของซีบัมในผิว นอกจากจะทำให้เกิดสิวเห่อตามมาง่ายแล้วยังทำให้ผิวคล้ำ แห้งกร้าน มีริ้วรอยก่อนวัยได้อีกด้วย หรือหากคุณไม่ได้อยู่ในพื้นที่เสี่ยงก็ตามแต่ก็เป็นสิงห์อมควันอยู่แล้ว ก็อาจได้รับสารพิษจากควันบุหรี่เทียบเท่ากับมลภาวะทางอากาศได้เช่นกัน
7. ภาวะความเครียดสะสม
ไม่ว่าใครก็ไม่อยากมีเรื่องเครียดกันทั้งนั้น แต่หากมีเรื่องให้ต้องเครียดจริง ๆ แล้วเราไม่สามารถจัดการภาวะความเครียดก็อาจมีผลเสียต่อผิวหน้ามากกว่าที่คิดนะครับ เพราะความเครียดจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) หรือฮอร์โมนความเครียดออกมามากขึ้นและกระตุ้นการหลั่งเหงื่อและน้ำมันบนผิวมากกว่าปกติจนไปอุดตันอยู่ในรูขุมขนและกลายเป็นสิว นอกจากนี้ความเครียดยังทำให้เราคิดมากและนอนไม่หลับ พอเรานอนได้น้อยลง ระบบหมุนเวียนของเลือดและน้ำเหลืองก็จะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้รูขุมขนกว้างขึ้น มีสิ่งสกปรกเข้ามาอุดตันในรุขุมขนง่ายและเกิดสิวง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน
8. ภูมิแพ้อาหารแฝง
บางครั้งปัญหาสิวเรื้อรังไม่ได้มาจากการดูแลผิวหน้าเพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากภูมิแพ้อาหารแฝงได้ด้วยเช่นกัน โดยภาวะดังกล่าวเกิดจากร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันชนิด IgG (Immunoglobulin G) ขึ้นมาต่อต้านอาหารบางประเภทที่ทานเข้าไป นอกจากจะมีผลข้างเคียงเป็นปัญหาสิวตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่รักษาไม่รู้จบแล้ว ยังตามมาด้วยอาการอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นปวดหัวเรื้อรัง ปวดไมเกรน อ่อนเพลียปวดตามข้อ ท้องผูกสลับกับท้องเสีย และอื่น ๆ อีกมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของร่างกายแต่ละคนครับ
สิวเรื้อรังเกิดขึ้นตรงไหน บ่งบอกอะไรได้บ้าง
- สิวเรื้อรังที่หน้าผาก อาจเกิดจากปัญหาระบบย่อยอาหารอย่างท้องอืด ท้องเฟ้อ
- สิวเรื้อรังที่แก้ม อาจเกิดจากปัญหาระบบทางเดินหายใจ เช่น ภูมิแพ้ ไข้หวัดใหญ่
- สิวเรื้อรังที่คาง อาจเกิดจากการรับประทานอาหารรสจัดเกินไปเป็นประจำ ส่งผลให้ลำไส้เล็กทำงานหนักเกินไป
- สิวเรื้อรังที่แผ่นหลัง อาจเกิดจากสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นเกินไปหรือเสื้อผ้าที่อับชื้น
สิวไม่หาย อันตรายแค่ไหน
แม้ว่าสิวจะไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายจนถึงแก่ชีวิต แต่หากคุณเป็นสิวอักเสบแล้วก็อาจก่อให้เกิดหลุมสิวที่ทิ้งร่องรอยความไม่เรียบเนียนเอาไว้บนใบหน้า ซึ่งจะมีผลทำให้สูญเสียความมั่นใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในวงการสื่อที่ต้องออกกล้องบ่อย ๆ แถมปัญหาสิวเรื้อรังยังมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ซ้ำ ๆ หากคุณยังมีพฤติกรรมเสี่ยงอยู่
สิวเรื้อรัง แก้ได้ยังไงบ้าง
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ลดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลที่กระตุ้นให้หลั่งน้ำมันมาอุดตันรูขุมขน
- ดื่มน้ำตามตารางการดื่มน้ำ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว (ประมาณ 2 ลิตร) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำในแต่ละวันด้วย หากต้องออกแรงเยอะก็ควรดื่มเพิ่มประมาณ 1-2 แก้ว
- ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและบำรุงผิวที่เหมาะกับผิวของเรา ต้องไม่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหย (Essential Oil) เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหน้ามีน้ำมันมากเกินไปจนไปอุดตันรูขุมขน
- หยุดสูบบุหรี่ เพราะในบุหรี่มีสารพิษที่นอกจากจะทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี ผิวต้องการออกซิเจนมากขึ้น รูขุมขนขยายกว้างและมีสิ่งสกปรกอุดตันง่ายขึ้น
- ทำความสะอาดเครื่องสำอางทุกครั้งก่อนนอน โดยเริ่มจากใช้อายรีมูฟเวอร์ (Eye Remover) ตามด้วยคลีนซิ่ง (Cleansing) เช็ดเบา ๆ ให้ทั่วใบหน้า ก่อนล้างหน้าและตบท้ายด้วย Skincare Routine
- จัดการความเครียด ไม่ให้มีผลต่อการใช้ชีวิตมากเกินไป แนะนำให้หางานอดิเรกทำ ฟังเพลงธรรมชาติบำบัด วาดรูป อ่านหนังสือ ถักนิตติ้ง เป็นต้น
- หากคุณดูแลผิวหน้ามาโดยตลอดแต่ยังมีปัญหาสิวเรื้อรัง แนะนำให้รีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและหาทางแก้ปัญหาอย่างตรงจุด
รักษาสิวแล้วแต่หลุมสิวไม่หายสักที ทำอย่างไรดี
แม้ว่าคุณจะรักษาสิวหายสนิทแล้วแต่ก็ยังมีหลุมสิวทิ้งไว้ดูต่างหน้าอยู่ดี ซึ่งปัญหาหลุมสิวเป็นอะไรที่กวนใจหลาย ๆ คนมากเพราะนอกจากจะทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียน ดูแก่กว่าวัย ลดความมั่นใจในตัวเองแล้ว ยังเป็นปัญหาผิวหน้าที่ใช้เวลานานในการรักษาอีกด้วย แม้ว่าการรักษาหลุมสิวในอดีตจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ 100% ต้องกลับมาทำซ้ำเรื่อย ๆ แต่ในปัจจุบันมีวิธีที่สามารถรักษาหลุมสิวให้หายได้แล้วด้วยโปรแกรมรักษาหลุมสิว JuvGenesis จาก Gentle Clinic ครั้งแรกในไทยที่ใช้เทคนิคการฟื้นฟูผิวหนังตัวเองจาก dr.จิน แตกต่างจากการรักษาหลุมสิวแบบเดิม ๆ ที่ต้องกรอผิว (Physical Stimulation) ซึ่งไม่สามารถรักษาหลุมสิวได้ 100% แต่เทคนิค JuvGenesis จะให้ผลลัพธ์ที่คงทนถาวรในระยะยาว
โดยแพทย์จะฉีด CO2foam (Chemical (CO2)/Biological (HA)/ Physical (Subcision) stimulation) ด้วยเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาสำหรับรักษาปัญหาผิวหน้าโดยเฉพาะ เพื่อกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ใต้ผิวหลุมสิวที่เป็นแผลหรือร่องรอยลึก จึงช่วยเติมเต็มริ้วรอยของแผลเป็นลึกได้เป็นอย่างดี ทำครั้งเดียวก็พอ ไม่จำเป็นต้องกลับมาทำซ้ำเหมือนวิธีอื่น แถมยังเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการรักษาอีกด้วย
อ่ายรายละเอียดเพิ่มเติม: JUVGEN คืออะไร ทำไมถึงตอบโจทย์การดูแลผิวหน้าของคนยุคใหม่
บทความที่น่าสนใจ
- หน้ามันง่าย เป็นหลุมสิวง่าย ดูแลยังไงให้หน้าใสไกลสิว
- หลุมสิวเกิดจากอะไร รักษาหายเองได้ไหม ดูแลป้องกันได้ยังไงบ้าง
- ฉีดหลุมสิว ดีจริงไหม ทำไม JUVGEN ถึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ทำ Juvgen ที่ไหนดี ทำไมต้อง Gentle Clinic
Gentle Clinic เราเป็นเจ้าแรกในไทยที่ใช้เทคนิคการรักษาหลุมสิว JuvGenesis จาก Dr.จิน (Jin Se-hun) ที่กล้าการันตีผลลัพธ์หลังการรักษา ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องมาทำซ้ำ และที่สำคัญตัวเครื่องมือถูกออกแบบมาสำหรับรักษาปัญหาหลุมสิวโดยเฉพาะ จึงรักษาปัญหาได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ปลอดภัยต่อทุกสีผิว (ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงเหมือนเลเซอร์) ระหว่างทำไม่จำเป็นต้องแปะยาชาเพราะไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาเหมือนวิธีอื่นๆ อีกด้วย JuvGenesis ช่วยให้คุณกลับมามีผิวหน้าที่เรียบเนียนขึ้นอีกครั้ง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น Rolling scar, Box scar, Ice-pick Scars, หลุมเล็ก, หลุมใหญ่ หรือหลุมลึกก็ตาม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาหลุมสิวแบบเร่งด่วนและะรักษาถาวร นอกจากเทคนิคการรักษาและเครื่องมือคุณภาพสูงแล้ว เรายังมีทีมแพทย์ของมากประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์และรักษาได้อย่างตรงจุด มีช่องทางการติดต่อให้ผู้ที่สนใจทั้ง 4 ช่องทาง เพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุดจากเรา
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม JuvGenesis
- เบอร์โทรศัพท์: 099-245-7555
- Line: https://page.line.me/gentleclinic
- Facebook: Gentle Clinic
- Instagram: gentleclinic_thailand