สิวเหม็นเกิดจากอะไร จัดการยังไงไม่ให้กลิ่นมากวนใจ

Facebook
Twitter

คุณเคยได้กลิ่นเหม็นแปลกๆ บ้างไหมครับ ต่อให้เราเดินเลี่ยงจากพื้นที่ที่มีสิ่งสกปรกแล้วแต่ก็ยังได้กลิ่นข้างๆ จมูกอยู่ดี แท้จริงแล้วกลิ่นนั้นมาจากสิวข้างจมูกของเราครับ ซึ่งจริงๆ แล้วกลิ่นเหม็นดังกล่าวอาจบ่งบอกถึงอะไรบางอย่างที่ลึกกว่าสิวทั่วไป ว่าแต่สิวเหม็นข้างจมูกเกิดจากอะไร ไม่อยากมีกลิ่นเหม็นมากวนใจมีวิธีไหนช่วยได้บ้าง วันนี้ Gentle clinic มีข้อมูลดีๆ มาฝากกันครับ

สิวเหม็นข้างจมูก เกิดจากอะไร

เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย P.acnes (Propionibacterium acnes) หรือแบคทีเรียสตาฟิโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่อยู่บนผิวได้กัดกินไขมันที่อยู่บนใบหน้าและเข้าไปอยู่อาศัยในรูขุมขน จากนั้นจึงปล่อยแก๊ส Sulfer ที่มีกลิ่นเหม็นคล้ายหนองหรือกลิ่นเน่าจางๆ ส่งผลให้บริเวณที่เกิดสิวมีกลิ่นเหม็น โดยเฉพาะบริเวณจมูกที่มีต่อมไขมันจำนวนมาก หากทำความสะอาดจมูกไม่ดีพอ จะทำให้ไขมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วอุดตันอยู่ในรูขุมขนและกลายเป็นสิวอุดตัน ยิ่งถ้าบีบสิวบ่อยๆ ก็ยิ่งทำให้เชื้อโรคจากมือเข้าไปในรูขุมขนง่ายขึ้น นอกจากจะมีกลิ่นเหม็นแล้ว ยังก่อให้เกิดสิวอักเสบเรื้อรังอีกด้วย

สิวขึ้นข้างจมูกมีกี่แบบ อะไรบ้าง

1. สิวอุดตัน

เป็นสิวที่เกิดจากไขมัน, เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรกต่างๆ อุดตันอยู่ในรูขุมขนและเกิดเป็นตุ่มเล็กๆ บนผิวหน้า โดยทั่วไปแล้วสิวประเภทนี้จะไม่มีการอักเสบ มีทั้งแบบสิวหัวขาว (Whiteheads) ที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนปิด แต่หากเป็นสิวหัวเปิดที่นูนออกมาจากผิวและสัมผัสกับอากาศเป็นเวลานานก็จะกลายเป็นสิวหัวดำ (Blackheads) 

2. สิวอักเสบ

เป็นสิวที่มีการติดเชื้อและอักเสบภายในรูขุมขน มีลักษณะเป็นตุ่มแดง บวม รู้สึกเจ็บ เมื่อสัมผัส สิวประเภทนี้อาจมีหัวหนองหรือไม่มีหัวก็ได้ เกิดจากแบคทีเรีย P.acnes ทำปฏิกิริยากับไขมันที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนและเกิดการอักเสบ หากดูแลไม่ดีหรือบีบสิวจะทำให้สิวลุกลาม, เป็นรอยดำ หรือเกิดแผลเป็นตามมา ได้แก่ สิวอักเสบแดงเป็นก้อนลึก (Nodule) สิวหัวหนอง (Pustules)

3. สิวซีสต์ (Cystic Acne)

เป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรงที่เกิดจากการติดเชื้อในชั้นผิวลึก จนกลายเป็นก้อนบวมแดงขนาดใหญ่อยู่ใต้ผิวหนัง หากสัมผัสหรือขยับบริเวณใกล้เคียงจะรู้สึกเจ็บมาก ส่วนใหญ่แล้วสิวประเภทนี้จะไม่มีหัวโผล่ขึ้นมาแต่มีหนองอยู่ข้างใน ข้อเสียของสิวประเภทนี้จะทิ้งรอยแผลเป็นถาวรเอาไว้ ไม่สามารถหายได้ด้วยการใช้สกินแคร์ทั่วไป จำเป็นต้องดูแลโดยวิธีทางการแพทย์เท่านั้น เช่น ทานยาปฏิชีวนะ ใช้ยารักษาสิวโดยเฉพาะ

4. สิวจากการแพ้หรือระคายเคือง (Acne from allergies)

เป็นสิวที่เกิดจากการระคายเคืองขณะสวมแมสก์หรือแพ้สารบางอย่างในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าหรือเครื่องสำอาง เช่น น้ำหอม แอลกอฮอล์ สิวประเภทนี้มักเป็นผื่นแดงหรือเป็นสิวเม็ดเล็ก ขึ้นเป็นกระจุกแบบเฉียบพลัน อาจรู้สึกคัน แสบร้อน บริเวณที่เกิดสิว จำเป็นต้องหยุดสวมแมสก์, ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า หรือเครื่องสำอางเพื่อบรรเทาอาการ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: สิวแพ้แมสเกิดจากอะไร มีวิธีรักษาให้หายขาดไหม

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: สิวเครื่องสำอางรักษาได้ไหม ถ้าต้องแต่งหน้า ดูแลใบหน้ายังไงดี

5. รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis)

เป็นภาวะการอักเสบของรูขุมขนที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น Staphylococcus aureus หรือเชื้อราบางชนิด มีลักษณะภายนอกคล้ายกับสิวหนอง เช่น มีตุ่มแดงๆ เล็กๆ มีหัวหนอง แม้ว่าส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบริเวณจมูก แต่ภาวะนี้อาจเกิดตามแนวหนวด หลัง หรือขาได้เช่นกัน หากเกิดบ่อยแพทย์อาจใช้ยาฆ่าเชื้อหรือยาทาภายนอกเฉพาะทางในการรักษา

วิธีสังเกตสิวเหม็นข้างจมูกด้วยตัวเอง

  • มีกลิ่นแปลกๆ เมื่อบีบหรือแตะจมูก
  • มีหนองสีเหลืองขุ่น หรือเขียวจางๆ อยู่บนจมูก บางครั้งอาจมีเลือดปนมาด้วย
  • รู้สึกปวดตุบๆ หรือสิวบวมมากกว่าปกติ ซึ่งเกิดจากซีสต์หรือรูขุมขนอักเสบ
  • หากบีบสิวออกมาแล้วเป็นก้อนนิ่มๆ คล้ายขี้ไคลหนาๆ พร้อมกับกลิ่นเหม็น
  • เกิดสิวจมูกบริเวณเดิมซ้ำๆ อาจบ่งบอกว่าเป็นรูขุมขนอักเสบเรื้อรัง หรือมีเชื้อซ่อนอยู่ลึก

สิวเหม็นข้างจมูก อันตรายไหม

ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของสิวครับ หากเป็นสิวอุดตันทั่วไป, สิวหัวหนองเล็กๆ, สิวแพ้แมสก์ หรือสิวฮอร์โมนก่อนมีประจำเดือนนั้นก็ไม่เป็นอันตราย แต่หากเป็นสิวที่มีการติดเชื้อนั้นถือว่าอันตรายมาก เนื่องจากสิวบริเวณจมูกเป็นจุดที่อยู่ใกล้เส้นเลือดที่เชื่อมต่อไปยังสมอง หากเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียรุนแรงและรักษาผิดวิธี (ด้วยการบีบสิว) อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายเข้าสู่สมองและเกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต

สิวเหม็นข้างจมูก รักษายังไง

1. ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน

การทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยนเป็นวิธีการรักษาขั้นพื้นฐานที่สำคัญมาก โดยเริ่มจากใช้คลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ และสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้นให้สิวอักเสบรุนแรงขึ้น โดยล้างหน้าเพียงวันละ 2 ครั้ง ได้แก่ ช่วงเช้าและก่อนนอน เพื่อขจัดสิ่งสกปรก ไขมันส่วนเกิน และแบคทีเรียที่สะสมอยู่บริเวณข้างจมูก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของสิวเหม็น ทั้งนี้ควรระวังในเรื่องของการทำความสะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์รุนแรง งดการถูจมูกแรงๆ และไม่ควรใช้น้ำอุณหภูมิสูงเกินไป เพราะอาจระคายเคืองต่อผิว

2. แต้มยารักษาสิวเฉพาะจุด

สำหรับสิวที่ติดเชื้อแบคทีเรีย P. acnes ควรรักษาด้วย Benzoyl Peroxide ที่มีความเข้มข้นประมาณ 2.5-5% สำหรับฆ่าเชื้อ หากสิวอักเสบมากหรือมีหนอง ควรใช้ยาฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมของ Clindamycin gel ภายใต้คำแนะนำหรือใบสั่งยาจากแพทย์เท่านั้น เมื่อสิวเริ่มแห้งแล้วให้ใช้ Retinoid เช่น Adapalene เพื่อกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันในรูขุมขน ทั้งนี้ไม่ควรใช้ระหว่างที่สิวอักเสบรุนแรงอยู่ เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองมากขึ้น

3. งดใช้เครื่องสำอางและสกินแคร์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว

หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีเนื้อหนักหรือมันเยิ้ม เพราะอาจอุดตันรูขุมขนและกระตุ้นให้สิวอักเสบรุนแรง โดยเฉพาะรองพื้นที่มีเนื้อหนาแน่น, ออยล์ หรือครีมที่มีส่วนผสมในกลุ่ม Comedogenic ที่ก่อให้เกิดการอุดตันง่าย หากจำเป็นต้องแต่งหน้าจริงๆ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากระบุว่า “Non-comedogenic” หรือไม่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการอุดตัน หรือผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นสิวง่าย เมื่อคุณใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวแล้วจะช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น และลดโอกาสเกิดสิวเหม็นซ้ำ

4. เข้ารับการรักษากับแพทย์

กรณีที่การรักษาด้วยตัวเองไม่เห็นผลหรืออาการรุนแรงกว่าเดิม ให้รีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด โดยแพทย์จะจ่ายฆ่าเชื้อแบบรับประทานสำหรับรักษาสิว เช่น Clindamycin (ชนิดรับประทาน), Doxycycline, Minocycline โดยคนไข้จะต้องปฎิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากใช้ยาจนหมดแล้วอาการไม่ดีขึ้น ไม่ควรซื้อยามาทานเองเด็ดขาด เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับยาเกินขนาดและเป็นอันตรายต่อร่างกายได้

บรรเทาอาการปวดจากสิวเหม็นข้างจมูกได้ยังไงบ้าง

กรณีที่อยู่ในช่วงระหว่างรักษา แต่ก็ยังรู้สึกปวดที่สิวอยู่ เราขอแนะนำให้นำผ้าชุบน้ำอุ่นประคบเบาๆ บริเวณสิวประมาณ 5-10 นาที เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและลดอาการบวม นอกจากนี้ความร้อนยังทำให้เนื้อเยื่อรอบๆ สิวนิ่มลง หนองหรือสารคัดหลั่งที่สะสมอยู่ในสิวจึงออกมาทางผิวหนังได้เองโดยไม่จำเป็นต้องบีบเอง หรืออาจทาเจลว่านหางจระเข้เพื่อบรรเทาอาการปวดได้ด้วยเช่นกัน

สิวหายแล้วแต่ยังมีหลุมสิว รักษาหลุมสิววิธีไหนดีที่สุด

โปรแกรม ScarSurgery หรือ ศัลยกรรมเสริมเนื้อใต้หลุมสิวถาวรด้วยเทคโนโลยี Juvgen จาก Gentle Clinic ที่ถูกคิดค้นด้วย ดร.จิน หรือนายแพทย์ จินเซฮุน (Dr. Jin Se-hun) ศัลยแพทย์ชื่อดังจากเกาหลี ผ่านการฉีด Co2 foam ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) และกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) อนุภาคเล็กเข้าไปยังชั้นหนังแท้ใต้แผลเป็น หลุมสิว หรือริ้วรอยร่องลึก โดยแพทย์จะฉีดสารเข้าไปทีละนิด ๆ เพื่อฉีกเซลล์ทิ้งและกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากเพื่อปิดหลุมสิวในทันที แต่หลังจากการรักษาประมาณ 30-60 วัน ตัวสารที่ฉีดเข้าไปจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากบริเวณหลุมสิว ส่งผลให้มีการเติมเต็มเนื้อเยื่ออย่างถาวร คนไข้จึงไม่จำเป็นต้องกลับมารักษาซ้ำเป็นรอบที่สอง

นอกจากนี้ตัวเครื่องจูวีเจนถูกออกแบบสำหรับรักษาปัญหาผิวหน้าโดยเฉพาะ คนไข้จึงไม่ต้องฉีดยาชาบรรเทาอาการเพราะไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองใดๆ ทั้งระหว่างและหลังการรักษาแล้ว และที่สำคัญยังไม่มีผลข้างเคียงหลังการรักษาอีกด้วยครับ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: บริการฉีดสร้างเนื้อหลุมสิวถาวร Juvgen จาก Gentle Clinic 

บทความที่น่าสนใจ

ทำ Juvgen ที่ไหนดี ทำไมต้อง Gentle Clinic

Gentle Clinic เราเป็นเจ้าแรกในไทยที่ใช้เทคนิคการรักษาหลุมสิว JuvGenesis จาก Dr.จิน (Jin Se-hun) ผ่านโปรแกรม ScarSurgery ที่กล้าการันตีผลลัพธ์หลังการรักษา ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องมาทำซ้ำ และที่สำคัญตัวเครื่องมือถูกออกแบบมาสำหรับรักษาปัญหาหลุมสิวโดยเฉพาะ จึงรักษาปัญหาได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ปลอดภัยต่อทุกสีผิว (ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงเหมือนเลเซอร์) ระหว่างทำไม่จำเป็นต้องแปะยาชาเพราะไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาเหมือนวิธีอื่นๆ อีกด้วย

นอกจากเทคนิคการรักษาและเครื่องมือคุณภาพสูงแล้ว เรายังมีทีมแพทย์ของมากประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์และรักษาได้อย่างตรงจุด มีช่องทางการติดต่อให้ผู้ที่สนใจทั้ง 4 ช่องทาง เพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุดจากเรา

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม JuvGenesis

แชร์บทความนี้

Facebook
Twitter

พร้อมยินดีให้คำปรึกษา

เจนเทิล คลีนิก เปิดให้บริการเวลา 12.00 – 20.00 น.

บทความที่น่าสนใจ