สิวแพ้แมสเกิดจากอะไร มีวิธีรักษาให้หายขาดไหม

Facebook
Twitter

เคยสังเกตกันบ้างไหมครับว่าในช่วงวิกฤตโควิด-19 เป็นช่วงที่ใบหน้าของเรามีสิวเห่อขึ้นบ่อยกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณที่สวมหน้ากากอนามัย สำหรับสิวที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้จะถูกเรียกว่า “สิวแพ้แมส” หรือที่เรียกกันว่า Maskne ที่นอกจากจะสร้างความรำคาญจากอาการเจ็บสิวแล้ว ยังลดความมั่นใจเวลาอยู่ใกล้กับคนอื่นอีกด้วย ว่าแต่สิวประเภทนี้เกิดจากกอะไร มีอาการอย่างไร มีวิธีดูแลและป้องกันอย่างไรได้บ้าง บทความนี้มีคำตอบครับ

สิวแพ้แมสเกิดจากอะไร

1. ผิวอักเสบจากการเสียดสีกับหน้ากากอนามัยเป็นเวลานาน

หากคุณสวมหน้ากากอนามัยเป็นเวลานานก็อาจทำให้หน้ากากอนามัยเสียดสีกับผิวหน้าจนเกิดการระคายเคืองต่อรูขุมขน ทำให้ผนังรูขุมขนเสียหายและมีเซลล์ผิวที่ตาย น้ำมัน และสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตัน ส่งผลให้ผิวอักเสบตามมา โดยธรรมชาติของร่างกายนั้นจะส่งเซลล์ภูมิคุ้มกันมาที่บริเวณที่มีผิวอักเสบในรูปแบบของรอยแดงและสิวเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่รุนแรงขึ้น

และที่สำคัญผิวอักเสบยังรบกวนการผลัดเซลล์ผิว ทำให้เคราตินก่อตัวเป็นชั้นหนาๆ และเข้าไปอุดตันรูขุมขน รวมถึงกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันหรือซีบัม (Sebum) มากขึ้น ส่งผลให้น้ำมันส่วนเกินจับตัวกับเซลล์ผิวที่ตายและแบคทีเรีย Propionibacterium Acnes บนผิวหน้ากลายเป็นสิวอุดตันในที่สุด

2. ผิวอับชื้น

รู้หรือไม่ว่าการหายใจผ่านหน้ากากอนามัยจะสร้างทำให้ผิวหน้าบริเวณที่สวมใส่หน้ากากเกิดการอับชื้นและไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้นเพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปจากใบหน้า เพียงแต่น้ำมันที่มากเกินไปจะอุดตันของรูขุมขนและกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย Cutibacterium Acnes นอกจากนี้ผิวหน้าที่อับชื้นยังดักจับฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกจากภายนอกที่กระตุ้นให้เกิดสิวง่ายขึ้นอีกด้วย

3. แพ้วัสดุผลิตหน้ากากหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหน้ากากอนามัย

แม้ว่าวัสดุผลิตหน้ากากจะไม่เป็นอันตรายสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ยังมีอีกหลายคนที่แพ้วัสดุผลิตหน้ากาก ยกตัวอย่างเช่นสารเคลือบฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) หรือยางลาเท็กซ์ที่ใช้ในหน้ากากบางชนิด, เส้นใยสังเคราะห์โพลีเอสเตอร์ (Polyester) หรือไนลอน (Nylon) หรือในกรณีที่คุณไม่ได้แพ้วัสดุผลิตหน้ากาก แต่ก็อาจมีอาการแพ้แมสจากสารตกค้างจากการทำความสะอาดหน้ากากผ้า เช่น น้ำยาซักผ้าหรือสารเคมีทำความสะอาดหน้ากากผ้า เป็นต้น

4. มลพิษทางอากาศ

หากคุณจำเป็นต้องโดยสารมอเตอร์ไซค์หรือขับมอเตอร์ไซค์เป็นประจำก็อาจสัมผัสกับมลพิษจากควันรถหรือโรงงานอุตสาหกรรมอยู่บ่อยๆ ซึ่งมลภาวะเหล่านี้จะลดสารต้านอนุมูลอิสระและภูมิคุ้มกันผิวของผิว ทำให้ผิวแห้ง แพ้ง่าย เป็นสิวง่ายกว่าคนทั่วไป หรือต่อให้คุณสวมหน้ากากอนามัยแต่ปิดไม่สนิทก็มีโอกาสได้รับมลภาวะเข้ามายังใต้หน้ากากได้เช่นกันครับ

อาการของสิวแพ้แมส มีอะไรบ้าง

  • มีสิวหัวขาวและสิวหัวดำบริเวณที่หน้ากากสัมผัสกับผิว
  • มีสิวอักเสบ เป็นตุ่มแดง บวม หรือเป็นหนอง
  • อาจมีรอยแดงหรือแสบร้อนบริเวณที่หน้ากากสัมผัสกับผิว
  • เป็นสิวบ่อยบริเวณที่หน้ากากสัมผัส เช่น จมูก แก้ม คาง กราม
  • ผิวหนังแห้ง รู้สึกคัน
  • เมื่อสวมหน้ากากเป็นเวลานานจะทำให้ผิวหน้าอับชื้นและกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากกว่าปกติ

สิวแพ้แมส อันตรายไหม

แม้ว่าสิวแพ้แมสจะไม่ใช่ปัญหาผิวที่อันตราย แต่หากดูแลไม่ถูกวิธีหรือปล่อยไว้เรื้อรัง ก็อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อผิวได้ในระยะยาวได้ เช่น สิวแพ้แมสอาจพัฒนาเป็นสิวตุ่มหนองหรือสิวซีสต์ ซึ่งเป็นสิวอักเสบรุนแรงที่ก่อให้เกิดรอยดำ รอยแดง หรือหลุมสิวถาวรได้ นอกจากนี้หากปล่อยให้เกิดสิวแพ้แมสขึ้นบ่อยๆ ก็อาจทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอและผิวแพ้ง่ายจนพัฒนากลายเป็นโรคผิวหนังอักเสบได้อีกด้วยครับ

สิวแพ้แมส หายเองได้ไหม

สิวแพ้แมสสามารถหายเองได้ เพียงแค่คุณหยุดสวมหน้ากากอนามัย แต่ในกรณีที่สิวยังไม่หายสักทีอาจเกิดจากสิวอักเสบรุนแรงหรือการดูแลผิวไม่ถูกวิธี และหากคุณจำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลา เราขอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อหาทางรักษาที่เหมาะกับคุณมากที่สุด

สิวแพ้แมส รักษาได้ด้วยวิธีไหนบ้าง

1. ดูแลความสะอาดของหน้ากากอนามัยอยู่เสมอ

กรณีที่คุณใช้หน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้ง เราขอแนะนำให้หมั่นเปลี่ยนหน้ากากอยู่บ่อยๆ หากอยู่ในพื้นที่ปกติให้เปลี่ยนทุกๆ 6-8 ชั่วโมง แต่หากอยู่ในพื้นที่แออัด, อยู่บนท้องถนน หรือโรงงานอุตสาหกรรม ควรเปลี่ยนทุกๆ 4-6 ชั่วโมง ไม่ควรใช้หน้ากากซ้ำเพื่อป้องกันเชื้อโรคสะสม สำหรับหน้ากากอนามัยที่ดีควรระบายอากาศได้ดี ไม่อับชื้นง่าย แต่ถึงอย่างไรก็ตามคุณควรถอดหน้ากากออกบ้างเพื่อให้มีอากาศถ่ายเทไปยังผิวหน้าเพื่อให้ผิวหน้าไม่อับชื้นเกินไป แต่ในกรณีที่คุณใช้หน้ากากแบบผ้าให้ใช้สลับกันและหมั่นทำความสะอาดหน้ากากผ้าเป็นประจำ

2. การดูแลผิวให้เหมาะกับสภาพผิว

แนะนำเป็นมอยส์เจอไรเซอร์ที่เติมความชุ่มชื้นให้กับผิว เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือเซราไมด์ (Ceramides) ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวและลดการระคายเคืองจากหน้ากาก, ครีมลดการอักเสบที่มีส่วนผสมของอโลเวรา (Aloe Vera) หรือไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) และใช้ครีมกันแดดสูตร Non-comedogenic ช่วยป้องกันผิวจากแสงแดดที่กระตุ้นให้สิวอักเสบรุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งนี้แนะนำให้ใช้หลังทำความสะอาดผิวตอนเช้าและเย็นแล้วค่อยทาครีมกันแดดก่อนสวมหน้ากากเสมอครับ

3. งดบีบสิว

การบีบสิวจะทำให้แบคทีเรีย เซลล์ผิวที่ตายและน้ำมันกระจายไปยังส่วนอื่นของใบหน้า ทำให้ผิวอักเสบและเกิดแผลลึกลงไปในผิวหนัง ที่สำคัญนิ้วมือของเราก็เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกมากมายที่สะสมอยู่บริเวณใต้เล็บ, ข้อพับนิ้ว หรือซอกนิ้ว หากคุณบีบสิวก็จะเพิ่มความเสี่ยงที่สิ่งสกปรกจะเข้าไปในสิวและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ทำให้สิวอักเสบรุนแรง รักษาหายยากขึ้น

4. รักษาด้วยยาต้านการอักเสบ

กรณีที่คุณปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วแต่ยังสิวแพ้แมสยังไม่ดีขึ้น จำเป็นจะต้องเข้ารับการรักษากับแพทย์เฉพาะทาง ทั้งนี้แพทย์อาจจ่ายยาต้านการอักเสบหรือยาปฏิชีวนะเพื่อลดอาการอักเสบและควบคุมการติดเชื้อจากแบคทีเรียในรูขุมขน สำหรับยาที่ใช้จะมีทั้งยาทาและยากิน ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของสิว

  • ยาต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory Drugs) ได้แก่ ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) สำหรับปรับสมดุลน้ำมันบนผิว และครีมสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เช่น ไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) หรือ เบโทเมทาโซน (Betamethasone) สำหรับรักษาสิวอักเสบรุนแรง เพียงแต่ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงได้
  • ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) ใช้ควบคุมการติดเชื้อ Propionibacterium Acnes มีทั้งแบบยาทา ได้แก่ คลินดามัยซิน (Clindamycin) และเอริโทรมัยซิน (Erythromycin) ส่วนยาทานจะใช้สำหรับสิวที่มีความรุนแรง ไม่ตอบสนองต่อยาทา ได้แก่ โดซิโซไซคลิน (Doxycycline), มิเนไซคลิน (Minocycline) และเตตราไซคลิน (Tetracycline)

ทั้งนี้อาจใช้เรตินอยด์ (Retinoids) เช่น อะดาพาเลน (Adapalene) หรือ ทเรทินอยด์ (Tretinoin) หรือเบนโซอิล เพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ นอกจากนี้อย่าใช้ยาเกินขนาดจากที่แพทย์กำหนดเพราะป้องกันผลข้างเคียงในระยะยาว

หากสิวแพ้แมสหายแล้วแต่ยังมีหลุมสิว ควรทำอย่างไรดี

ในกรณีที่คุณรักษาสิวหายไปได้แล้วแต่ยังมีหลุมสิวทิ้งไว้ต่างหน้าอยู่ดี เราขอแนะนำ JUVGEN เทคนิคการรักษาหลุมสิวด้วยการฟื้นฟูผิวตัวเอง จาก Gentle Clinic ที่ถูกคิดค้นโดย จินเซฮุน (Dr. Jin Se-hun) ศัลยแพทย์ชื่อดังจากเกาหลี ผ่านการฉีด Co2 foam กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) อนุภาคเล็กลงไปในชั้นหนังแท้ใต้หลุมสิวเพื่อฉีกเซลล์เก่าทิ้งและกระตุ้นการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากขึ้นมาใหม่ภายใน 3-5 วัน เพื่อให้เกิดเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาเติมเต็มหลุมสิวให้กลับมาเรียบเนียนเหมือนผิวบริเวณอื่นบนใบหน้าภายในการรักษาเพียงครั้งเดียว และหลังจากการรักษาประมาณ 30-60 วัน ตัวสารที่ฉีดเข้าไปจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากบริเวณหลุมสิว ส่งผลให้มีการเติมเต็มเนื้อเยื่ออย่างถาวร คนไข้จึงไม่จำเป็นต้องกลับมารักษาซ้ำเป็นรอบที่สอง นอกจากจะไม่ต้องฉีดยาชาบรรเทาอาการเพราะตัวเครื่องมือถูกออกแบบสำหรับรักษาปัญหาผิวหน้าโดยเฉพาะ จึงไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองใดๆ ทั้งระหว่างและหลังการรักษาแล้ว ไม่มีผลข้างเคียงหลังการรักษาอีกด้วยครับ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: JUVGEN คืออะไร ทำไมถึงตอบโจทย์การดูแลผิวหน้าของคนยุคใหม่

ทำ Juvgen ที่ไหนดี ทำไมต้อง Gentle Clinic

GentleClinic เราเป็นทีมแรกในไทยที่ใช้เครื่อง JuvGen รักษาหลุมสิวและร่องลึก โดยได้รับการเทรนโดยตรงจาก Dr.จิน (Jin Se-hun) เราพร้อมด้วยประสบการณ์และเทคนิคในการยิงหลุมที่ลึกและยากกว่าหลุมทั่วไป เช่น box scar ที่มีขอบแข็ง หลุมแผลเป็นลึกจากอีสุกอีใส ร่องพับลึกบนหน้าฝาก เป็นต้น เราจึงกล้าการันตีผลการรักษา จ่ายครั้งเดียวจบ เติมหลุมสิวจนเต็มโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม JuvGen

บทความที่น่าสนใจ

แชร์บทความนี้

Facebook
Twitter

พร้อมยินดีให้คำปรึกษา

เจนเทิล คลีนิก เปิดให้บริการเวลา 12.00 – 20.00 น.

บทความที่น่าสนใจ