ผิวหน้าไม่เรียบเนียนเกิดจากอะไร ดูแลอย่างไรให้ห่างไกลหลุมสิว

Facebook
Twitter

นอกจากจะเป็นจุดเด่นบนใบหน้าที่ไม่มีใครอาจให้เกิดขึ้นกับตัวเองแล้ว ผิวหน้าไม่เรียบเนียนยังมีผลทำให้แต่งหน้ายากขึ้น แถมยังต้องเสียเงินเสียเวลารักษาที่นานอีกด้วย และหากคุณกำลังประสบปัญหาดังกล่าวอยู่หรือเคยรักษาหายแล้วแต่ก็กลับมาเป็นซ้ำ อาจเกิดจากพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ที่คุณยังแก้ไม่ได้ แล้วควรดูแลผิวอย่างไรให้กลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังครับ

ผิวหน้าไม่เรียบเนียนคืออะไร

เป็นลักษณะของผิวหน้าที่ดูขรุขระ ไม่เสมอกันทั่วใบหน้า อาจพบหลุมสิวหรือรอยแผลเป็นจากการเกิดสิว มีริ้วรอยเล็กๆ หรือเส้นบางๆ บนผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใสเหมือนแต่ก่อน บางคนอาจมีรูขุมขนขยายใหญ่ขึ้น มองเห็นได้ชัดเจน บางคนอาจมีจุดด่างดำจากการอักเสบหรือรอยแผล หรือบางคนอาจมีสีผิวไม่สม่ำเสมอกันจากการที่เมลานินผลิตเม็ดสีมากเกินไปหรือสูญเสียความยืดหยุ่นของผิว ส่งผลให้ผิวดูไม่เรียบ ขาดความกระชับ โดยมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการดูแลผิวหน้าที่รุนแรงเกินไป การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวไม่เหมาะกับสภาพผิวหน้า สิ่งสกปรกจากมลภาวะนอกบ้านที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือแม้แต่อายุที่เพิ่มขึ้นด้วย

สัญญาณของผิวหน้าไม่เรียบเนียน

  • มีหลุมสิวหรือรอยแผลเป็นจากสิว
  • ผิวขรุขระ ดูหยาบกร้าน ไม่เรียบเนียน
  • มีริ้วรอยเล็กๆ หรือเส้นบางๆ บนใบหน้า
  • มีรอยแผลหรือจุดด่างดำบนใบหน้า
  • รูขุมขนกว้าง มองเห็นได้ชัดเจน
  • ผิวหมองคล้ำ ดูไม่สดใส
  • ผิวมันหรือแห้งเกินไป
  • สีผิวไม่สม่ำเสมออย่างเห็นได้ชัด

ผิวหน้าไม่เรียบเนียน มีข้อเสียอย่างไร

1. ผิวไม่กระจ่างใส

เมื่อคุณมีผิวหน้าที่ไม่เรียบเนียนอันเนื่องมาจากหลุมสิว ริ้วรอย ก็อาจทำให้การสะท้อนแสงบนผิวหน้าไม่สม่ำเสมอ โดยทั่วไปแล้วผิวที่เรียบเนียนจะสะท้อนแสงได้ดี ทำให้ผิวดูกระจ่างใส แต่เมื่อผิวมีความขรุขระหรือไม่เรียบ ก็จะทำให้ผิวจะสะท้อนแสงได้ไม่เต็มที่ ทำให้ผิวดูหมองคล้ำ ไม่มีชีวิตชีวา นอกจากนี้ ความไม่เรียบเนียนยังส่งผลต่อการผลัดเซลล์ผิวที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้วที่ทำให้ผิวดูหมองและขาดความกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น

2. แต่งหน้ายากขึ้น

ข้อนี้ถือเป็นข้อสำคัญสำหรับใครหลายคนที่ต้องการแต่งหน้าเพื่อการทำงานหรือเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง แต่หากคุณมีผิวไม่เรียบเนียนก็อาจทำให้เครื่องสำอางเกาะติดบนผิวหน้าได้ไม่ดีเท่าที่ควร หรืออาจตกร่องในบริเวณที่มีริ้วรอยหรือหลุมสิว ทำให้การแต่งหน้าดูไม่เรียบ ไม่เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะกับรองพื้นหรือคอนซีลเลอร์ที่อาจทำให้เห็นรอยไม่เนียนไปกับผิวได้ง่าย

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: สิวเครื่องสำอางรักษาได้ไหม ถ้าต้องแต่งหน้า ดูแลใบหน้ายังไงดี

3. ดูแก่กว่าวัย

นอกจากสิวหรือแผลเป็นแล้ว ผิวที่ไม่เรียบเนียนยังเกิดจากการขาดคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว เมื่อผิวหน้ามีปริมาณของโปรตีนสองชนิดนี้น้อยเกินไป จะส่งผลให้ผิวขาดความกระชับ หย่อนคล้อยง่ายขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย จนอาจมีผลต่อความมั่นใจที่ลดลงเวลาถ่ายรูปหรือพบปะผู้คน

4. ปัญหาสิวอุดตัน

ผิวที่ไม่เรียบเนียนมักเกิดจากการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้วหรือมีสิ่งสกปรกสะสมจนไปอุดตันอยู่ในรูขุมขนและอาจนำไปสู่การเกิดสิวอักเสบ และเมื่อเกิดสิวอักเสบแล้ว การอักเสบจะกระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของผิวหนังและทำให้เซลล์ผิวชั้นนอกสุดเซลล์ผิวชั้นนอกสุด (Stratum Corneum) เสื่อมสภาพ ส่งผลให้ผิวสูญเสียความสามารถในการป้องกันตัวเองจากมลภาวะหรือสารเคมีต่างๆ และทำให้ผิวไวต่อการระคายเคือง แพ้ง่ายขึ้น

ดูแลอย่างไรให้ผิวกลับมาเรียบเนียน ห่างไกลหลุมสิว

1. ทำความสะอาดผิวหน้าให้ถูกต้อง

นอกจากการล้างหน้าทุกวันวันละ 2 ครั้งในช่วงเช้าและก่อนนอนแล้ว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพราะถ้าคุณใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง ก็อาจทำให้ปัญหาผิวหน้าไม่เรียบเนียนทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ง่าย หรือทำให้ผิวแห้ง เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและกระตุ้นให้สิวอักเสบและหลุมสิวตามมาง่ายขึ้น

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: ผิวหน้าอ่อนกว่าวัย ไร้รอยสิว เริ่มด้วยการดูแลผิวหน้าต่อไปนี้

2. ผลัดเซลล์ผิวอย่างสม่ำเสมอ

การผลัดเซลล์ผิวตามช่วงเวลาที่เหมาะสมจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วบนผิวหน้าและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ช่วยให้ผิวกลับมากระจ่างใสและเรียบเนียนอีกครั้ง ทั้งนี้เราขอแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA (Alpha Hydroxy Acid) หรือ BHA (Beta Hydroxy Acid) ที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวที่อุดตันและกระชับรูขุมขน โดยใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ก็พอครับ เพราะถ้าคุณใช้มากเกินไป อาจทำให้ผิวระคายเคืองและแพ้ง่าย

3. ใช้ผลิตภัณฑ์กระชับรูขุมขน

สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกระชับรูขุมขนจะมีส่วนผสมของ Niacinamide (วิตามิน B3), Retinol (เรตินอล) หรือวิตามิน C ที่ ช่วยลดการผลิตน้ำมันส่วนเกินในรูขุมขนและกระชับรูขุมขนให้เล็กลงไปในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเรียบเนียน กระจ่างใสยิ่งขึ้น

4. ทาครีมบำรุงผิว

ผู้ชายหลายคนอาจมองว่าไม่จำเป็นต้องทาครีมบำรุงผิวก็ได้ ทาแล้วอาจดูไม่แมน แต่ในความเป็นจริงแล้วการทาครีมบำรุงผิวเป็นสิ่งจำเป็นไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม ยิ่งถ้าคุณบำรุงผิวหน้าดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูอ่อนกว่าวัย ใบหน้าดูสดใส เป็นมิตรมากยิ่งขึ้น สำหรับครีมที่ควรทาจะต้องมีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว และครีมที่มีเปปไทด์ (Peptides) ที่ฟื้นฟูและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ช่วยรักษาผิวให้กลับมาเรียบเนียนและลดเลือนรอยหลุมสิวไปในตัว และที่สำคัญหากคุณต้องออกนอกบ้าน อย่าลืมทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป เพราะรังสี UV มีฤทธิ์ทำให้รอยสิวหรือหลุมสิวชัดเจนขึ้น ส่งผลให้กระบวนการฟื้นฟูผิวช้าลง อีกทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดริ้วรอยและปัญหาผิวอื่นๆ ในระยะยาวอีกด้วย

5. หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิว

หลายคนชอบบีบสิวเพื่อตัดรำคาญ แต่จริงๆ แล้วคุณควรรักษาสิวให้ถูกวิธี เพราะการบีบหรือแกะสิวออกจะเพิ่มโอกาสที่เชื้อแบคทีเรียจะเข้าสู่ผิวหน้าผ่านหลุมสิวที่บีบออกได้ง่ายขึ้น อีกทั้งเพิ่มความเสี่ยงต่อเชื้อแบคทีเรียจะกระเด็นไปโดนส่วนอื่นบนใบหน้า ทำให้เกิดสิวบริเวณอื่นตาม ซึ่งอาจต้องใช้เวลารักษาสิวที่มากขึ้น และที่สำคัญการบีบหรือแกะจะทำให้ผิวหนังที่เกิดสิวบอบช้ำและกลายเป็นหลุมสิวลึกที่อาจต้องใช้เวลารักษานานกว่าหลุมสิวประเภทอื่น

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: หลุมสิวลึกคืออะไร มีวิธีแก้ไหม ทำไมถึงแก้ยากกว่าหลุมสิวอื่น

สุดท้ายนี้หากคุณมีปัญหาผิวหน้าไม่เรียบเนียนจากหลุมสิว เราขอแนะนำให้พบกับผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผิวหน้าจะดีที่สุดครับ ถึงแม้ว่าหลุมสิวจะไม่ได้สร้างความเจ็บปวดใดๆ ต่อร่างกาย แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รักษาหรือทำความเข้าใจในการดูแลผิวหน้าที่ถูกต้อง ก็อาจนำมาสู่การเกิดหลุมสิวตามมาอีกมากในอนาคต ซึ่งอาจมีผลต่อความมั่นใจในตัวเองที่ลดลงได้ด้วยครับ

รู้ปัญหาแล้ว รักษาหลุมสิววิธีไหนดีที่สุด

โปรแกรม ScarSurgery หรือ ศัลยกรรมเสริมเนื้อใต้หลุมสิวถาวรด้วยเทคโนโลยี Juvgen จาก Gentle Clinic ที่ถูกคิดค้นด้วย ดร.จิน หรือนายแพทย์ จินเซฮุน (Dr. Jin Se-hun) ศัลยแพทย์ชื่อดังจากเกาหลี ผ่านการฉีด Co2 foam ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) และกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) อนุภาคเล็กเข้าไปยังชั้นหนังแท้ใต้แผลเป็น หลุมสิว หรือริ้วรอยร่องลึก โดยแพทย์จะฉีดสารเข้าไปทีละนิด ๆ เพื่อฉีกเซลล์ทิ้งและกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากเพื่อปิดหลุมสิวในทันที แต่หลังจากการรักษาประมาณ 30-60 วัน ตัวสารที่ฉีดเข้าไปจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากบริเวณหลุมสิว ส่งผลให้มีการเติมเต็มเนื้อเยื่ออย่างถาวร คนไข้จึงไม่จำเป็นต้องกลับมารักษาซ้ำเป็นรอบที่สอง

นอกจากนี้ตัวเครื่องจูวีเจนถูกออกแบบสำหรับรักษาปัญหาผิวหน้าโดยเฉพาะ คนไข้จึงไม่ต้องฉีดยาชาบรรเทาอาการเพราะไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองใดๆ ทั้งระหว่างและหลังการรักษาแล้ว และที่สำคัญยังไม่มีผลข้างเคียงหลังการรักษาอีกด้วยครับ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: บริการฉีดสร้างเนื้อหลุมสิวถาวร Juvgen จาก Gentle Clinic

บทความที่น่าสนใจ

ทำ Juvgen ที่ไหนดี ทำไมต้อง Gentle Clinic

Gentle Clinic เราเป็นเจ้าแรกในไทยที่ใช้เทคนิคการรักษาหลุมสิว JuvGenesis จาก Dr.จิน (Jin Se-hun) ผ่านโปรแกรม ScarSurgery ที่กล้าการันตีผลลัพธ์หลังการรักษา ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องมาทำซ้ำ และที่สำคัญตัวเครื่องมือถูกออกแบบมาสำหรับรักษาปัญหาหลุมสิวโดยเฉพาะ จึงรักษาปัญหาได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ปลอดภัยต่อทุกสีผิว (ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงเหมือนเลเซอร์) ระหว่างทำไม่จำเป็นต้องแปะยาชาเพราะไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาเหมือนวิธีอื่นๆ อีกด้วย

นอกจากเทคนิคการรักษาและเครื่องมือคุณภาพสูงแล้ว เรายังมีทีมแพทย์ของมากประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์และรักษาได้อย่างตรงจุด มีช่องทางการติดต่อให้ผู้ที่สนใจทั้ง 4 ช่องทาง เพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุดจากเรา

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม JuvGenesis

แชร์บทความนี้

Facebook
Twitter

พร้อมยินดีให้คำปรึกษา

เจนเทิล คลีนิก เปิดให้บริการเวลา 12.00 – 20.00 น.

บทความที่น่าสนใจ