แนะนำทุกวิธีแก้หลุมสิว แตกต่างกันอย่างไร วิธีไหนเห็นผลไวสุด

Facebook
Twitter

สำหรับใครก็ตามที่มีปัญหาหลุมสิวไม่ว่าจะตื้นหรือลึกแค่ไหนก็ตาม และกำลังมองหาวิธีแก้ปัญหาหลุมสิวอยู่ วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีแก้หลุมสิวกันว่าแต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเห็นผล มีค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่ แล้ววิธีไหนเห็นผลไวสุด มาอ่านกันครับ

วิธีแก้หลุมสิวมีกี่แบบ อะไรบ้าง

1. ใช้ยารักษาหลุมสิว

กรณีที่คุณมีปัญหาหลุมสิวไม่ลึกมากก็สามารถรักษาให้หายเองได้ด้วยการใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ โดยยาที่ใช้ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ ทั้งกรดผลไม้หรือกรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Carboxylic Acid), กรดไตรคลอโรอะซิติก (TCA), กรดแลคติก (Lactic Acid) หรือเรตินอล (Retinol) ที่มีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้แก่ผิว ลดการอักเสบของสิว ลดรูขุมขนกว้าง และที่สำคัญยังช่วยฟื้นฟูผิวให้หลุมสิวตื้นขึ้นอีกด้วยครับ เพียงแต่การใช้ยาประเภทนี้จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นนะครับ เพราะนอกจากจะมีผลข้างเคียงระหว่างใช้ยาอย่างภาวะผิวแพ้ง่าย แสบร้อนระคายเคือง ผิวลอกเป็นขุยแล้ว หากใช้ในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจเสี่ยงต่อปัญหาผิวหน้าและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา นอกจากนี้ยังไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง สตรีมีครรภ์ และคุณแม่ที่อยู่ในช่วงระหว่างให้นมบุตรอีกด้วยครับ

2. พอกหน้าด้วยวิธีธรรมชาติ

ในส่วนของการพอกหน้าด้วยวิธีธรรมชาตินั้นจะใช้ผลไม้หรือสมุนไพรที่มีสารที่ช่วยบำรุงผิวหน้า ทั้งหมด 4 ชนิด ได้แก่ ว่านหางจระเข้, น้ำมะพร้าวสกัดเย็น, มะละกอ และใบบัวบก สำหรับว่านหางจระเข้มีสารอะลอคติน เอ (Aloctin A) ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่, น้ำมะพร้าวสกัดเย็นมีกรดลอริก (Lauric Acid) ช่วยลดการอักเสบของสิวและลดรอยแผลเป็นหลังเกิดสิว, มะละกอมีเอนไซม์ Papain ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวหนังใหม่และกระตุ้นการสมานแผลบนผิวหน้า และใบบัวบกมีสารกลูโคไซด์ (Glucoside) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีสาสตินในชั้นผิว หลุมสิวตื้นขึ้นและกลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง เพียงแต่การพอกหน้าด้วยวิธีธรรมชาติจะต้องใช้เวลานานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปีกว่าจะเห็นผล และต้องพอกเป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ผิวฟื้นฟูอย่างสม่ำเสมอ วิธีนี้จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการรักษา

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: หน้าเป็นหลุม รักษาด้วยธรรมชาติได้ไหม มีวิธีที่ไวกว่านี้มั้ย

3. การฉีดฟิลเลอร์ (Dermal filler)

เป็นการฉีดสารเติมเต็ม HA (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติคล้ายกับกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ที่มีอยู่ในร่างกายของมนุษย์ เพื่อเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin) ในผิวหนังและเติมเต็มหลุมสิวให้กลับมาเต็มอีกครั้ง แม้จะมีข้อดีในเรื่องของผลลัพธ์ที่เห็นผลทันทีหลังการฉีดและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายก็ตาม แต่ฟิลเลอร์เป็นเพียงสารเติมเต็มที่ไม่ได้กระตุ้นการสร้างผิวหนังขึ้นมาใหม่บริเวณหลุมสิวและตัวฟิลเลอร์ก็มีอายุการใช้งานไม่ถึง 1 ปีแล้วจึงสลายไปเอง หากคุณไม่ต้องการให้หลุมสิวกลับมาก็ควรเข้ารับการฉีดอย่าสม่ำเสมอ และหากคุณเป็นหลุมสิวลึก (Ice Pick Scar) ก็อาจเห็นผลลัพธ์ไม่ 100% จำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีอื่นควบคู่กันไปด้วย นอกจากนี้อาจมีผลข้างเคียงหลังการฉีดหากคนไข้มีอาการแพ้ฟิลเลอร์หรือเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ปลอมที่อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้เลยครับ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: ฟิลเลอร์หลุมสิว รักษาหลุมสิวได้จริงไหม ให้ผลลัพธ์ถาวรรึเปล่า

4. การเลเซอร์หลุมสิว (Pico Laser) 

เป็นการใช้เครื่องเลเซอร์ยิงเลเซอร์เข้าไปยังหลุมสิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวให้สร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาดันหลุมสิวให้เรียบเนียน การยิงเลเซอร์แบ่งเป็น 4 แบบ ได้แก่ เลเซอร์รักษาหลุมสิวแบบมีแผล, เลเซอร์หลุมสิวแบบไม่มีแผล, เลเซอร์หลุมสิวแบบแฟรคชันนอล (Fractional Laser) และคลื่นวิทยุแบบแฟรคชันนอล (Fractional RF) นอกจากช่วยเรื่องหลุมสิวแล้วเลเซอร์หลุมสิวยังช่วยกระขับรูขุมขน ปรับสีผิวให้สม่ำเสมออีกด้วย เพียงแต่การรักษาด้วยวิธีนี้จะเหมาะสำหรับผู้ที่มีหลุมสิว Rolling Scar และ Box Scar เท่านั้น นอกจากนี้ยังไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกมาพบแพทย์เป็นประจำอีกด้วย เนื่องจากคนไข้จะต้องเข้ารับการรักษาประมาณ 4-6 ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 1-3 เดือน นอกจากนี้อาจเกิดรอยแดงหลังการรักษาได้ในคนไข้บางราย แม้ว่าจะหายไปได้เองแต่อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานที่ต้องพบปะผู้คนตลอดเวลา เช่น แอร์โฮสเตส ดารา นักแสดง ดีเจ อินฟลูเอนเซอร์ เป็นต้น

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: เลเซอร์หลุมสิว หายถาวรไหม ไม่อยากเสียเวลา วิธีไหนไวสุด

5. การเซาะพังผืด (Subcision)

เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กที่มีปลายทู่, ปลายแหลม หรือเครื่องมือพิเศษสำหรับตัดเซาะพังผืดใต้หลุมสิวที่เกิดจากการสมานแผลไม่สมบูรณ์บริเวณชั้นหนังแท้และชั้นไขมัน ให้ขาดออกจากกันแล้วฉีดฟิลเลอร์, สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Biostimulator) หรือเลเซอร์หลุมสิวเข้าไปยังพื้นที่ดังกล่าว แม้จะเห็นผลทันทีหลังการรักษา ไม่เกิดรอยแผลเป็น และรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่วิธีนี้จะเหมาะกับหลุมสิวทั่วไปอย่าง Rolling Scar เท่านั้น นอกจากนี้อาจเสี่ยงต่ออาการช้ำบริเวณที่ทำการรักษาหรือติดเชื้อหลังการรักษาได้หากรักษากับสถานพยาบาลที่ไม่ได้มาตรฐาน

6. การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Micropeel)

เป็นการใช้เครื่องกรอผิวเกร็ดอัญมณีพ่นไปยังผิวบริเวณที่เกิดหลุมสิวเพื่อผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วในชั้นผิวหนังกำพร้าให้หลุดออก โดยเครื่องตัวนี้จะทำงานด้วยระบบสุญญากาศ ส่วนตัวเกล็ดอัญมณีจะเป็นผลึกอลูมิเนียมออกไซด์ที่มีขนาดเล็กมาก จึงช่วยให้ผู้ทำการรักษาสามารถควบคุมระดับความลึกได้ตามสภาพผิวของคนไข้ นอกจากจะเร่งการผลัดเซลล์ผิวแล้ว ยังช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง ลดรอยด่างดำบนใบหน้า ลดการอุดตันของรูขุมขนที่เป็นสาเหตุของสิวอักเสบ เพียงแต่วิธีนี้ไม่สามารถรักษาหลุมสิวลึกได้ อีกทั้งจะต้องเข้ารับการรักษาเป็นประจำทุกๆ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ อย่างน้อย 8-10 ครั้ง ถึงจะเริ่มเห็นผล หากขาดการรักษาไปสักพักนึงแล้วหลุมสิวจะกลับมาบุ๋มลงเหมือนเดิม หรือหากคุณมีปัญหาผิวแพ้ง่ายก็อาจทำให้ผิวหน้าระคายเคืองและเกิดสิวอักเสบได้ง่ายขึ้น

7. การลอกผิวด้วยสารเคมี

เป็นการทาสารเคมีประเภทสารกรดผลไม้ (AHA), สารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ (Sodium Hydrosulfite), กรดเบต้าไฮดรอกซี (Beta Hydroxy Acid), กรดไตรคลอโรอะซิติก (Trichloroacetic) หรือกรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) ลงบนบริเวณที่มีหลุมสิวเพื่อทำลายเซลล์ผิวหนังชั้นบนสุดให้ลอกออกมาและกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาแทนที่ แม้ว่าจะช่วยผลัดเอาเซลล์ผิวออกและลดโอกาสเกิดสิว ปรับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ลดริ้วรอยก่อนวัยได้ก็จริง แถมยังเห็นผลไวภายใน 1-3 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับระดับความลึกที่ต้องการรักษา) แต่หากทำโดยไม่อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทางหรือใช้ในปริมาณที่มากเกินไป ก็อาจเกิดผลข้างเคียงต่างๆ ตามมา เช่น ผิวแพ้ง่ายขึ้น, ผิวเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำ, ผิวหนังอักเสบ หรือติดเชื้อได้ด้วย

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: ลอกผิวคืออะไร อันตรายไหม ทำไมถึงห้ามรักษาหลุมสิวด้วยวิธีนี้

8. JUVGEN

เป็นวิธีการรักษาหลุมสิวทุกประเภทโดยเน้นไปที่การฟื้นฟูผิวหนังของคนไข้เป็นหลัก จึงเห็นผลทันทีหลังการรักษา เทคนิคนี้ถูกคิดค้นโดยศัลยแพทย์ชื่อดังจากประเทศเกาหลี จินเซฮุน (Dr. Jin Se-hun) ผ่านการฉีด Co2 foam กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) อนุภาคเล็กลงไปในชั้นหนังแท้ใต้หลุมสิวเพื่อฉีกเซลล์เก่าทิ้งและกระตุ้นการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากขึ้นมาใหม่ภายใน 3-5 วัน เพื่อให้เกิดเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาเติมเต็มหลุมสิวให้กลับมาเรียบเนียนเหมือนผิวบริเวณอื่นบนใบหน้าภายในการรักษาเพียงครั้งเดียว ส่วนระยะเวลาในการฉีดจะอยู่ที่ประมาณ 30 นาที (อาจมากหรือน้อยกว่านั้นขึ้นอยู่กับหลุมสิวของคนไข้) นอกจากจะไม่ต้องฉีดยาชาบรรเทาอาการเพราะตัวเครื่องมือถูกออกแบบสำหรับรักษาปัญหาผิวหน้าโดยเฉพาะ จึงไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองใดๆ ต่อผิวหนัาทั้งระหว่างและหลังการรักษา และไม่มีผลข้างเคียงหลังการรักษาอีกด้วยครับ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: JUVGEN คืออะไร ทำไมถึงตอบโจทย์การดูแลผิวหน้าของคนยุคใหม่

บทความที่น่าสนใจ

ทำ Juvgen ที่ไหนดี ทำไมต้อง Gentle Clinic

Gentle Clinic เราเป็นเจ้าแรกในไทยที่ใช้เทคนิคการรักษาหลุมสิว JuvGenesis จาก Dr.จิน (Jin Se-hun) ที่กล้าการันตีผลลัพธ์หลังการรักษา ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องมาทำซ้ำ และที่สำคัญตัวเครื่องมือถูกออกแบบมาสำหรับรักษาปัญหาหลุมสิวโดยเฉพาะ จึงรักษาปัญหาได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ปลอดภัยต่อทุกสีผิว (ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงเหมือนเลเซอร์) ระหว่างทำไม่จำเป็นต้องแปะยาชาเพราะไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาเหมือนวิธีอื่นๆ อีกด้วย

JuvGenesis ช่วยให้คุณกลับมามีผิวหน้าที่เรียบเนียนขึ้นอีกครั้ง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น Rolling scar, Box scar, Ice-pick Scars, หลุมเล็ก, หลุมใหญ่ หรือหลุมลึกก็ตาม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาหลุมสิวแบบเร่งด่วนและะรักษาถาวร นอกจากเทคนิคการรักษาและเครื่องมือคุณภาพสูงแล้ว เรายังมีทีมแพทย์ของมากประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์และรักษาได้อย่างตรงจุด มีช่องทางการติดต่อให้ผู้ที่สนใจทั้ง 4 ช่องทาง  เพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุดจากเรา

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม JuvGenesis

แชร์บทความนี้

Facebook
Twitter

พร้อมยินดีให้คำปรึกษา

เจนเทิล คลีนิก เปิดให้บริการเวลา 12.00 – 20.00 น.

บทความที่น่าสนใจ