คุณเคยเจอสิวที่ไม่มีหัวหนอง บีบเท่าไหร่ก็ไม่ออก แถมยังรู้สึกเจ็บมากกว่าสิวหัวหนองปกติไหมครับ ถ้าใช่!! แสดงว่าคุณกำลังประสบปัญหาสิวกินเนื้อที่อาจสร้างความเจ็บปวดขณะใช้ชีวิตประจำวันหรือเกิดหลุมสิวตามมาในระยะยาว ว่าแต่สิวประเภทนี้คืออะไร เกิดจากอะไร แล้วมีวิธีรักษาและป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดขึ้นกับเรา เรามีข้อมูลมาฝากครับ
สิวกินเนื้อคืออะไร
เป็นสิวอุดตันที่เกิดการอักเสบรุนแรงลึกลงไปในชั้นผิวหนังจนทำลายเนื้อเยื่อรอบๆ สิวและลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียง โดยมีสาเหตุการบีบหรือแกะสิวที่ก่อให้เกิดการอักเสบติดเชื้อแบคทีเรีย S.aureus (Staphylococcus aureus) ตามมาจนกลายเป็นสิวหนอง ซึ่งหนองที่เกิดขึ้นจะค่อยๆ กินเนื้อของผิวเราไปทีละน้อย หากปล่อยไว้นานไม่รีบรักษาก็อาจพัฒนากลายเป็นหลุมสิวในที่สุด นอกจากการแกะหรือบีบแล้ว สิวกินเนื้อยังเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ ส่งผลให้การอักเสบรุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
อาการของสิวกินเนื้อ
- สิวมีขนาดใหญ่ รู้สึกเจ็บปวดมากกว่าปกติ
- ผิวรอบๆ สิวมีสีแดงหรือสีม่วง
- อาจมีหนองหรือเลือดปะปนอยู่ภายในสิว
- อาจเกิดแผลลึกที่ผิวหนังหลังจากการอักเสบ
- รู้สึกร้อนหรืออุ่นบริเวณสิว
- บริเวณรอบๆ สิวบวมและอักเสบ
- สิวมีกลิ่นเหม็นจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
- แผลหายช้าและอาจทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้
สิวกินเนื้อ อันตรายไหม
หากสิวกินเนื้อมีขนาดใหญ่และยังไม่หายไปภายใน 1-2 สัปดาห์ มีอาการเจ็บปวดรุนแรงหรือมีไข้ร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าอาการอักเสบรุนแรงยิ่งขึ้น หากปล่อยไว้นานอาจเกิดการติดเชื้อแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่นของร่างกายที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย จำเป็นต้องเข้าพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
สิวกินเนื้อ รักษาด้วยวิธีไหนบ้าง
1. ประคบอุ่น
การประคบอุ่นจะช่วยลดอาการปวดบวม รวมถึงช่วยให้หนองระบายออกจากแผลได้ง่ายขึ้น วิธีนี้สามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้านด้วยการนำผ้าสะอาดจุ่มลงในน้ำอุ่นแล้วบิดให้หมาดก่อนประคบ จากนั้นนำผ้ามาประคบบริเวณที่เป็นสิวเป็นเวลา 15-20 นาที เราขอแนะนำให้ประคบวันละ 3-4 ครั้งในช่วงแรกที่เกิดสิว
2. ใช้ยาปฏิชีวนะ
กรณีที่สิวกินเนื้อไม่หายสักที จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรีย เช่น Ciprofloxacin, Dicloxacillin, Clindamycin หรือ Cephalexin โดยแพทย์จะเลือกใช้ยาที่เหมาะสม กรณีที่ติดเชื้อรุนแรงหรือหากเชื้อมีความต้านทานยา แพทย์จะใช้ยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อดังกล่าว เช่น Trimethoprim-sulfamethoxazole (TMP-SMX) หรือ Doxycycline ในการรักษา สำหรับยาปฏิชีวนะที่ใช้อาจมีทั้งแบบยาทาน (กรณีที่รุนแรง) และยาใช้ภายนอก (กรณีที่ไม่รุนแรงมาก) คนไข้จะต้องใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์และใช้ให้ครบตามระยะเวลาที่กำหนด (โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 7-10 วัน) แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
3. รักษาความสะอาด
สำหรับการทำความสะอาดสิวกินเนื้อให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าสูตรอ่อนโยน ลูบทำความสะอาดรอบๆ สิวแล้วล้างด้วยน้ำอุ่น หลังทำความสะอาดสิวเสร็จแล้ว ให้คุณใช้ยาฆ่าทาบริเวณที่เป็นสิวเพื่อช่วยลดการติดเชื้อ หากมีหนองไหลจากสิวกินเนื้อ ให้คุณใช้ผ้าพันแผลปิดสิวเอาไว้เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการสัมผัสกับสิ่งสกปรก
ไม่อยากมีสิวกินเนื้อ ทำยังไงดี
1. ทำความสะอาดผิวหน้าให้ถูกวิธี
คุณควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวสูตรอ่อนโยนต่อผิวและเหมาะสำหรับสภาพผิวของคุณ ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและล้างหน้าอย่างเบามือเพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคือง โดยล้างหน้าประมาณ 20-30 วินาที หลังล้างหน้าแล้วให้ใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับเบาๆ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวและป้องกันการเกิดสิวใหม่ ที่สำคัญอย่าลืมล้างหน้าทุกวัน วันละ 2 ครั้ง ได้แก่ ช่วงเช้าและช่วงเย็น เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและเหงื่อที่อาจสะสมและอุดตันอยู่ในรูขุมขน
2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งสกปรกและแบคทีเรีย
หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะสิ่งของที่อาจสัมผัสกับผิวหน้าโดยตรง เช่น ผ้าเช็ดหน้า, ผ้าขนหนู หรือเครื่องนอน เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแบคทีเรียที่อาจสะสมอยู่ในสิ่งเหล่านี้ นอกจากนี้ให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลหรือสิวด้วยมือที่ไม่สะอาด หากจำเป็นก็ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสสิ่งปนเปื้อนเชื้อโรคต่างๆ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของแบคทีเรียไปยังผิวหน้าและลดความเสี่ยงในการเกิดสิวกินเนื้อ ที่สำคัญห้ามกดหรือบีบสิวเด็ดขาด เพราะอาจทำให้สิวอักเสบรุนแรงยิ่งขึ้น
3. ดูแลร่างกายให้ดี
การดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญที่ใครหลายคนมองข้ามไป ไม่ว่าจะเป็นการนอนหลับให้เพียงพอประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน การออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือ 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละประมาณ 30 นาที รวมถึงจัดการความเครียดไม่ให้กระทบต่อฮอร์โมนในร่างกาย ล้วนแต่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและลดความเครียด ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดสิวและการติดเชื้อที่อาจนำไปสู่สิวกินเนื้อได้ รวมถึงเสริมสร้างประสิทธิภาพของระบบต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ จึงป้องกันการเกิดสิวได้ในระยะยาว
สิวกินเนื้อหายแล้วแต่เป็นหลุมสิว รักษาด้วยวิธีไหนดีที่สุด
หากคุณมีสิวกินเนื้อแล้วรักษาหาย แต่ยังมีหลุมสิวทิ้งไว้ดูต่างหน้า ก็อาจรู้สึกกังวลว่าจะรักษาหลุมสิวให้หายได้มั้ย แม้ว่าจะมีวิธีรักษาหลุมสิวมากมาย แต่หลายวิธีก็มีผลข้างเคียงหรือไม่สามารถรักษาให้หายได้ถาวร แตกต่างจากโปรแกรม ScarSurgery หรือ ศัลยกรรมเสริมเนื้อใต้หลุมสิวถาวรด้วยเทคโนโลยี Juvgen จาก Gentle Clinic ที่ถูกคิดค้นด้วย ดร.จิน หรือนายแพทย์ จินเซฮุน (Dr. Jin Se-hun) ศัลยแพทย์ชื่อดังจากเกาหลี ผ่านการฉีด Co2 foam ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) และกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) อนุภาคเล็กเข้าไปยังชั้นหนังแท้ใต้แผลเป็น หลุมสิว หรือริ้วรอยร่องลึก โดยแพทย์จะฉีดสารเข้าไปทีละนิด ๆ เพื่อฉีกเซลล์ทิ้งและกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากเพื่อปิดหลุมสิวในทันที แต่หลังจากการรักษาประมาณ 30-60 วัน ตัวสารที่ฉีดเข้าไปจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากบริเวณหลุมสิว ส่งผลให้มีการเติมเต็มเนื้อเยื่ออย่างถาวร คนไข้จึงไม่จำเป็นต้องกลับมารักษาซ้ำเป็นรอบที่สอง
นอกจากนี้ตัวเครื่องจูวีเจนถูกออกแบบสำหรับรักษาปัญหาผิวหน้าโดยเฉพาะ คนไข้จึงไม่ต้องฉีดยาชาบรรเทาอาการเพราะไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองใดๆ ทั้งระหว่างและหลังการรักษาแล้ว และที่สำคัญยังไม่มีผลข้างเคียงหลังการรักษาอีกด้วยครับ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: บริการฉีดสร้างเนื้อหลุมสิวถาวร Juvgen จาก Gentle Clinic
บทความที่น่าสนใจ
- ไม่อยากบีบสิวเอง ใช้ที่กดสิวดีไหม ไม่อยากเป็นหลุมสิว ทำไงดี
- เจาะลึกสาเหตุและวิธีรับมือกับ “สิวเครียด” อย่างถูกวิธี
- สิวเทียมคืออะไร มีสาเหตุและวิธีรักษาแตกต่างจากสิวปกติไหม
ทำ Juvgen ที่ไหนดี ทำไมต้อง Gentle Clinic
Gentle Clinic เราเป็นเจ้าแรกในไทยที่ใช้เทคนิคการรักษาหลุมสิว JuvGenesis จาก Dr.จิน (Jin Se-hun) ผ่านโปรแกรม ScarSurgery ที่กล้าการันตีผลลัพธ์หลังการรักษา ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องมาทำซ้ำ และที่สำคัญตัวเครื่องมือถูกออกแบบมาสำหรับรักษาปัญหาหลุมสิวโดยเฉพาะ จึงรักษาปัญหาได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ปลอดภัยต่อทุกสีผิว (ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงเหมือนเลเซอร์) ระหว่างทำไม่จำเป็นต้องแปะยาชาเพราะไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาเหมือนวิธีอื่นๆ อีกด้วย
นอกจากเทคนิคการรักษาและเครื่องมือคุณภาพสูงแล้ว เรายังมีทีมแพทย์ของมากประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์และรักษาได้อย่างตรงจุด มีช่องทางการติดต่อให้ผู้ที่สนใจทั้ง 4 ช่องทาง เพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุดจากเรา
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม JuvGenesis
- เบอร์โทรศัพท์: 099-245-7555
- Line: https://page.line.me/gentleclinic
- Facebook: Gentle Clinic
- Instagram: gentleclinic_thailand