หลังจากรักษาสิวอักเสบหายแล้ว ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้านั่นก็คือ รอยแดงจากสิว กลายเป็นจุดเด่นที่ลดความมั่นใจให้ใครหลายคน แล้วคุณรู้ไหมครับว่ารอยแดงนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร หากคุณมีรอยแดงอยู่หรือยังไม่มี แต่ไม่อยากให้เกิดขึ้นบนใบหน้าควรทำยังไงดี วันนี้เรามีข้อมูลมาฝากครับ
รอยแดงจากสิว เกิดขึ้นได้อย่างไร
รอยแดงเกิดขึ้นจากการอักเสบที่เกิดในช่วงระหว่างที่สิวมีการติดเชื้อและบวม แดง ส่งผลให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังขยายตัวเพื่อลำเลียงเลือดและสารอาหาร รวมถึงสารเคมีและเซลล์ภูมิคุ้มกันไปยังพื้นที่ที่เกิดการติดเชื้อหรืออักเสบ เพื่อต่อสู้กับเชื้อโรคหรือสิ่งที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ ซึ่งกระบวนการนี้ทำให้หลอดเลือดขยายตัวและมีเลือดมากขึ้น เมื่อสิวหายไปและการอักเสบเริ่มลดลง ผิวจะค่อยๆ ฟื้นฟูตัวเองโดยธรรมชาติ แต่กระบวนการขยายตัวของหลอดเลือดนั้นทำให้เกิดเลือดคั่งสะสมอยู่ในผิวชั้นลึกที่กลายเป็นรอยแดง
รอยแดงจากสิว อันตรายไหม
ไม่อันตรายครับ เพราะรอยแดงเป็นเพียงอาการที่เกิดจากการอักเสบที่เกิดขึ้นระหว่างที่สิวมีการบวมและติดเชื้อ จึงไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพผิวในระยะยาว เพียงแต่ถ้าคุณละเลยการดูแลผิวหน้าอย่างถูกวิธี ก็อาจเกิดสิวอักเสบบริเวณเดิมและกลายเป็นรอยแผลเป็น เช่น รอยดำจากสิว หรือหลุมสิวประเภทต่างๆ ตามมา
รอยแดงจากสิว หายเองได้ไหม
รอยแดงสามารถหายได้เองภายใน 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระดับการอักเสบ ความลึกของการบาดเจ็บในผิวหนัง และวิธีการดูแลผิวหลังการรักษา แต่หากรอยแดงไม่หายไปภายในช่วงเวลาดังกล่าว หรือมีรอยแผลเป็นลึกและยาวนานขึ้น อาจต้องพิจารณาการรักษาเพิ่มเติม เช่น การใช้ครีมฟื้นฟูผิว หรือปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีการรักษาที่เหมาะสม
ทำไมรอยแดงไม่หายสักที
หากพบว่ารอยแดงยังไม่หายสักที อาจมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสิวอักเสบรุนแรง ทำให้ผิวใช้เวลาฟื้นฟูนานกว่าปกติ, การสัมผัสหรือบีบสิวจนทำให้ผิวช้ำไปถึงชั้นผิวหนัง, ปัจจัยทางพันธุกรรมที่มีการตอบสนองของผิวที่ช้า ทำให้ผิวใช้เวลาฟื้นฟูมากกว่าคนทั่วไป รวมถึงละเลยการดูแลผิวอย่างถูกวิธี เช่น ล้างหน้าแค่ช่วงก่อนนอน, ใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะกับผิว เป็นต้น
รอยแดงจากสิว รักษายังไงดี
1. การใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยแดง
- Niacinamide (วิตามินบี 3) เป็นสารที่ช่วยลดการอักเสบของผิวได้ดี พร้อมทั้งช่วยเสริมชั้นป้องกันผิวให้แข็งแรง ลดการระคายเคืองและลดรอยแดงที่เกิดจากสิว ช่วยควบคุมความมันและกระชับรูขุมขน
- Vitamin C (วิตามินบี C) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแข็งแรงและเรียบเนียนเร็วขึ้น
- Centella Asiatica (สารสกัดจากใบบัวบก) มีคุณสมบัติลดอาการอักเสบและกระตุ้นกระบวนการสมานแผลตามธรรมชาติ ช่วยให้รอยแดงลดลง ผิวฟื้นตัวไวขึ้นโดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
2. ทาครีมกันแดดทุกวัน
รังสี UVA และ UVB จากแดด มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้เม็ดสีเมลานินผลิตมากขึ้น ทำให้รอยแดงเปลี่ยนเป็นรอยคล้ำหรือรอยดำง่ายขึ้น อีกทั้งทำให้กระบวนการฟื้นฟูผิวช้าลง รอยแดงหายจึงช้ากว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นคุณควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำทุกวันเพื่อป้องกันรังสีทั้ง 2 ชนิดนี้และช่วยให้ผิวฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่
3. การจับหรือแกะรอยสิว
การจับหรือแกะรอยสิวจะไปบกวนผิวบริเวณที่ยังไม่ฟื้นตัวจะยิ่งทำให้รอยแดงอยู่นานขึ้น และเสี่ยงเป็นรอยแผลถาวร ทางที่ดีควรงดสัมผัสไปก่อนจนกว่ารอยแดงจะหายไปจะดีที่สุดครับ
4. ประคบเย็น
เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยลดรอยแดงได้ในระยะสั้น โดยเฉพาะในกรณีที่รอยแดงเกิดจากการอักเสบระยะเริ่มต้น เช่น สิวเพิ่งยุบหรือผิวหนังบวมแดงหลังสิวหาย การประคบเย็นจะช่วยให้หลอดเลือดหดตัว ช่วยลดการไหลเวียนของเลือดในบริเวณนั้น ช่วยลดอาการบวมแดงและความร้อนบนผิวได้ชั่วคราว แม้ว่าวิธีนี้จะไม่ใช่การรักษาแบบถาวร แต่หากทำควบคู่กับการดูแลผิวที่เหมาะสม เช่น การทาผลิตภัณฑ์ลดรอยแดงและการป้องกันแสงแดด ก็จะช่วยให้รอยแดงจางลงได้เร็วขึ้น
รักษารอยแดงจากสิว วิธีไหนดีที่สุด
โปรแกรม ScarSurgery หรือ ศัลยกรรมเสริมเนื้อใต้รอยแผลเป็นและหลุมสิวถาวรด้วยเทคโนโลยี Juvgen จาก Gentle Clinic ที่ถูกคิดค้นด้วย ดร.จิน หรือนายแพทย์ จินเซฮุน (Dr. Jin Se-hun) ศัลยแพทย์ชื่อดังจากเกาหลี ผ่านการฉีด Co2 foam ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) และกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) อนุภาคเล็กเข้าไปยังชั้นหนังแท้ใต้แผลเป็น หลุมสิว หรือริ้วรอยร่องลึก โดยแพทย์จะฉีดสารเข้าไปทีละนิด ๆ เพื่อฉีกเซลล์ทิ้งและกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากเพื่อปิดหลุมสิวในทันที แต่หลังจากการรักษาประมาณ 30-60 วัน ตัวสารที่ฉีดเข้าไปจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยและเนื้อเยื่อคอลลาเจนจำนวนมากบริเวณหลุมสิว ส่งผลให้มีการเติมเต็มเนื้อเยื่ออย่างถาวร คนไข้จึงไม่จำเป็นต้องกลับมารักษาซ้ำเป็นรอบที่สอง
นอกจากนี้ตัวเครื่องจูวีเจนถูกออกแบบสำหรับรักษาปัญหาผิวหน้าโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นรอยแดงหรือรอยแดงจากสิวก็ตาม คนไข้จึงไม่ต้องฉีดยาชาบรรเทาอาการเพราะไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองใดๆ ทั้งระหว่างและหลังการรักษาแล้ว และที่สำคัญยังไม่มีผลข้างเคียงหลังการรักษาอีกด้วยครับ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: บริการฉีดสร้างเนื้อหลุมสิวถาวร Juvgen จาก Gentle Clinic
บทความที่น่าสนใจ
- หน้าเป็นหลุมสิวแบบไหน มีวิธีสังเกตได้ด้วยตัวเองหรือไม่
- 5 สาเหตุที่ทำให้รูขุมขนกว้าง ไม่อยากมีสิว ดูแลผิวอย่างไร
- วิธีเช็คสภาพผิวหน้า เพื่อการดูแลอย่างถูกวิธี ห่างไกลหลุมสิว
ทำ Juvgen ที่ไหนดี ทำไมต้อง Gentle Clinic
Gentle Clinic เราเป็นเจ้าแรกในไทยที่ใช้เทคนิคการรักษาหลุมสิว JuvGenesis จาก Dr.จิน (Jin Se-hun) ผ่านโปรแกรม ScarSurgery ที่กล้าการันตีผลลัพธ์หลังการรักษา ทำครั้งเดียวจบ ไม่ต้องมาทำซ้ำ และที่สำคัญตัวเครื่องมือถูกออกแบบมาสำหรับรักษาปัญหาหลุมสิวโดยเฉพาะ จึงรักษาปัญหาได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ปลอดภัยต่อทุกสีผิว (ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงเหมือนเลเซอร์) ระหว่างทำไม่จำเป็นต้องแปะยาชาเพราะไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลังการรักษาเหมือนวิธีอื่นๆ อีกด้วย
นอกจากเทคนิคการรักษาและเครื่องมือคุณภาพสูงแล้ว เรายังมีทีมแพทย์ของมากประสบการณ์ สามารถวิเคราะห์และรักษาได้อย่างตรงจุด มีช่องทางการติดต่อให้ผู้ที่สนใจทั้ง 4 ช่องทาง เพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุดจากเรา
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม JuvGenesis
- เบอร์โทรศัพท์: 099-245-7555
- Line: https://page.line.me/gentleclinic
- Facebook: Gentle Clinic
- Instagram: gentleclinic_thailand